วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554

คุณจะรักษาตำแหน่งหัวหน้าฝูงที่ดีไว้ได้อย่างไรนะ?

พอเค้าอายุได้ 6 เดือน ลูกสุนัขส่วนใหญ่จะย่างเข้าสู่ช่วงเวลาวัยหนุ่มสาว (แต่บางตัวจะยัง ไม่เข้าสู่ช่วงชีวิตแบบนี้จนกว่าเค้าจะอายุได้ 2 ปีไปแล้ว) ดูเหมือนว่าเขาจะลืมๆ ทุกอย่างที่คุณเคยสอนเขามา คุณเรียกเค้า เค้าอาจจะไม่เข้ามาหา และลูกสุนัขจะไม่ได้คิดถึงสิ่งที่คุณเคยสอนให้เค้าปฏิบัติตามอย่างคำสั่ง “นั่ง” หรือ “หมอบ”
              ในช่วงเวลาแบบนี้ เจ้าหนุ่มน้อยของเราเค้าต้องการค้นหาความเป็นตัวของตัวเอง เค้าอยากรู้ว่าเค้าคือใคร และเขาอยากจะทดสอบว่าตัวเขาสามารถรับบทบาทเจ้านายแทนคุณได้หรือไม่ ดังนั้นคุณมีหน้าที่ที่จะต้องสอน และฝึกฝน วินัยให้เขาและทำให้เค้ารู้ให้ได้ว่าสถานะของเค้านั้นอยู่ตรงไหน และแม้ว่าเขาจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่แล้ว คุณก็ควรจะฝึกวินัย ให้กับเขาเป็นระยะๆ และอย่าลืมว่าการชมเชยเป็นสิ่งสำคัญมากๆ
              สิ่ง ที่สุนัขต้องการ ก็คือการที่ได้เป็นใหญ่ในครอบครัว เหมือนกับที่เค้าอยู่ในฝูงเค้านั่นแหละ ให้คุณกำจัดความ อหังการของเค้าลงไปด้วยวิธีการอันเหมาะสมในทันทีที่เค้าแสดงอาการขึ้นมา คุณอาจเห็นว่าการที่ลูกสุนัขแสดงท่าทาง หวงกระดูกกับคุณเป็นเรื่องน่าตลกดี แต่อย่าปล่อยให้เขาทำพฤติกรรมนี้กับคุณ หากปล่อยเนิ่นนานไปมันอาจจะสายเกินแก้ มันอาจจะกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญ ที่คุณจะต้องแก้ไขพฤติกรรมของเขาหรืออาจกลายเป็นอันตรายหากสุนัขของคุณ ตัวโตไม่ใช่เล่น
              ในฐานะที่คุณเป็นเจ้านายหรือจ่าฝูง คุณสามารถทำสิ่งเหล่านี้เพื่อเป็นการเน้นย้ำถึงสถานะของคุณ เวลาที่เค้ากำลังกิน อาหารให้ดึงชามข้าวเค้าออกมาบ้าง เขาควรยินยอมคุณแต่โดยดี หากเค้าแยกเขี้ยวคำราม หรืออยากจะกัดเรา คุณต้องกำราบเขา วิธีการกำราบหรือสอนให้เค้ารู้ว่าใผเป็นใผ(ใครเป็นใคร) ก็คือการจับเค้านอนตะแคงราบไปกับพื้นแล้วใช้มือกดคอเค้าไว้ ให้คุณกดไว้อย่างนี้จนกระทั่งเค้ายอมจำนน และคลายอารมณ์ลง (การทำอย่างนี้จะใช้เวลาอยู่หลายนาทีเมื่อคุณทำกับเค้า เป็นครั้งแรก) คุณจึงปล่อยมือออกมา แล้วอย่าลืมว่าให้พูดกับเค้าอย่างนุ่มนวลล่ะระหว่างเวลาที่คุณกดมือลงไป วิธีการกำราบนี้ใช้ได้เฉพาะเวลาที่ลูกสุนัขของคุณประพฤติตนในทางที่ไม่ควร เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ที่เค้าแยกเขี้ยวยิงฟัน ใส่คุณเวลาที่คุณแต่งตัวให้เค้า ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะเจ็บ เพราะวิธีการกำราบแบบนี้จะไม่ทำให้เค้าเจ็บ และนี่เป็นวิธเดียวกับีที่สุนัขที่อยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่า แสดงออกและทำกับลูกฝูงตัวที่เด็กกว่าให้เจียมเนื้อเจียมตัว แต่อย่าลืมปล่อยมือออกจากคอเค้าก็แล้วกัน หากคุณเห็นว่าเค้ายอมคุณแล้ว แม้ว่าเค้าดิ้นตัวหนีคุณอย่างสุดกำลังก็ตาม
              การบีบปากเค้า ด้วยมือของคุณอย่างระมัดระวังแล้วปล่อยมือ ก็เป็นอีกวิธีในการแสดงความเหนือกว่าของคุณต่อสุนัข และเป็นการเสริมความน่าเกรงขามให้กับตำแหน่งหัวหน้าฝูงให้คุณได้ดี ทุกคนในครอบครัวควรเข้าใจตรงกันว่า สุนัขอยู่ในสถานะที่เป็นน้องเล็กที่สุดของบ้าน ไม่ใช่เจ้านายและควรปฏิบัติกับเขาอย่างนั้น

              เพื่อ เป็นการป้องกันไม่ให้สุนัขของคุณแสดงความเหิมเกริมและอยากเป็นใหญ่ ไม่ควรให้อนุญาตให้เค้าขึ้นมานั่งบน โซฟาหรือนอนบนเตียงโดยที่คุณไม่ได้อนุญาตอย่างเด็ดขาด

              ส่วน การที่เค้าเห็นขาใครต่อใครในครอบครัวคุณ เป็น “สุนัขตัวเมีย” ก็เกิดขึ้นได้บ่อย แต่ไม่ได้แสดงว่าสุนัขของคุณ เค้ามีพฤติกรรมทางเพศที่ผิดๆหรอก แต่สำหรัยเชามันคือการแสดงความ “มีอำนาจเหนือกว่า”ต่างหาก แม้แต่สุนัขตัวเมีย ก็ตามหากทำอย่างนี้จะถือว่าเป็นการกระทำที่แสดงออกต่อสุนัขตัวที่มีตำแหน่ง ต่ำกว่า ดังนั้นคุณอย่าไปปล่อยให้พฤติกรรม แบบนี้เกิดขึ้นกับเค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากลสุนัขแสดงพฤติกรรมแบบนี้กับลูกๆของคุณ ให้พูดกับเค้าเสียงแข็งๆว่า “ไม่!” แต่หากยังเกิดพฤติกรรมแบบนี้ขึ้นอีก ก็ให้แสดงความเป็นเจ้านายหรือหัวหน้าฝูงของเค้าด้วยการจับเค้านอนตะแคง แล้วกดคอเค้าไว้ด้วยมืออย่างที่กล่าวมาข้างต้น

              คุณ ควรจะเริ่มวิธีการนี้เสียตั้งแต่แรกๆ สามารถเริ่มได้ทันทีที่เค้าเข้ามาอยู่ในบ้านคุณใหม่ๆ และเริ่มคุ้นเคยแล้ว เพื่อที่ลูกสุนัขเล็กๆที่น่ารักของคุณได้เติบโตขึ้นมา เป็นสุนัขที่มีเสน่ห์และนิสัยดีในอนาคต

              และ แน่นอนว่าการแก้ไขความประพฤติที่ไม่ถูกต้องที่เค้าทำจนเคยชินแล้ว จะยากกว่าการสอนเค้าตั้งแต่ต้น เป็นไหนๆ สุนัขตัวที่ไม่ได้รับการสอนจากคุณมาตั้งแต่ต้นนั้นจะเป็นปัญหาแน่เมื่อเค้า อายุได้สักปีหรือสองปี ท้ายที่สุด พวกเค้าจะต้องลงเอยในสถานสงเคราะห์สัตว์หรือที่แย่กว่านั้น อาจต้องโดนกำจัดทิ้ง ถ้าเขากลายมาเป็นสุนัขที่จ้องจะ เข้าคุกคามและเป็นอันตรายต่อคน อย่างไรก็ดี สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นหากคุณได้เริ่มฝึกฝนเค้าอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เค้า ยังเล็กๆ
              วิธีแบบโบราณที่จะให้สุนัขเชื่อฟังก็คือการ เฆี่ยนตี แต่โชคดีที่การทารุณสัตว์แบบนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว คุณทราบไหมว่า สุนัขที่ถูกตีนั้นจะอยู่อย่างเป็นทุกข์และจะสามารถกัดหรือทำร้ายคนได้เมื่อ เค้ารู้สึกกลัว พวกเค้าจะไม่มีความมั่นใจในมนุษย์ ดังนั้นสิ่งที่คุณควรกระทำต่อสุนัขของคุณนั้นก็คือการให้ความสนใจเค้า ชมเชยเค้า และรักเค้าอยู่เสมอ
              อย่าลืมว่าไม่เพียงสุนัข เท่านั้นที่ต้องเรียนรู้ ตัวคุณเองก็ต้องเรียนรู้เช่นกันว่าคุณควรต้องทำอะไร เพื่อให้สุนัขเข้าใจว่า เขาต้องปฏิบัติตัวอย่างไรจึงเป็นการเหมาะสม

สุนัขกับเพื่อนสัตว์ทั้งหลาย

สุนัขของ เรามักจะคิดเสมอว่าตัวเองนั้นเป็นเอกในบ้าน แต่เค้าอาจไม่ใช่สัตว์เลี้ยงภายในบ้านตัวเดียวของคุณเท่านั้น ต่อไปนี้จะเป็นข้อมูลที่จะพอช่วยให้เจ้าสุนัขของคุณเข้ากันกับเพื่อนตัว อื่นๆได้
สุนัขกับสุนัข
              สุนัข อีกตัวหนึ่งนับเป็นเพื่อนที่เหมาะสมสำหรับสุนัขมากที่สุด สุนัขสองตัวจะอยู่เป็นเพื่อนกันได้และคุณสามารถ ปล่อยให้พวกเค้าอยู่กันเองตามลำพังได้ชั่วขณะหนึ่ง อย่างไรก็ดีการที่มีสุนัขถึงสองตัวก็จะต้องมีที่มีทางให้แต่ละตัว เป็นของตัวเองด้วย เพราะบางครั้งพวกเค้าอาจจะอยู่ตามลำพังบ้าง และแน่นอนแต่ละตัวก็จะต้องมีชามข้าวและน้ำ เป็นของตัวเองด้วย การเลี้ยงสุนัขสองตัวจะไม่สร้างปัญหาเพิ่มจากการที่คุณเลี้ยงเค้าเพียงตัว เดียวเท่าไหร่นัก การจะพาสุนัข หนึ่งตัวหรือสองตัวไปเดินเล่นไม่ได้ยุ่งยากแตกต่างกัน

              จะ เหมาะที่สุดถ้าสุนัขสองตัวเป็นตัวผู้และตัวเมีย แต่ถ้าหากคุณไม่ต้องการให้เค้ามีลูกกัน ต้องไปทำหมัน ตัวใดตัวหนึ่งเสีย ถ้าสุนัขเป็นตัวผู้ทั้งคู่เขาจะได้โตมาด้วยกันและเป็นเพื่อนรักกันและจะยิ่ง ดีหากคุณได้ลูกสุนัขทั้งสองตัว มาจากครอกเดียวกัน แต่หากสุนัขตัวหนึ่งอยู่ตัวเดียวมาก่อนเป็นเวลานาน เค้าจะไม่กระตือรือร้นอยากมีเพื่อนใหม่เท่าใดนัก สถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างความคุ้นเคยก็คือสถานที่ทั่วๆไป (ไม่ใช่อาณาเขตของใคร) เช่น ในสวนสาธารณะ แล้วจากนั้นเมื่อสุนัขตัวที่สองเข้ามาในบ้าน สุนัขที่อยู่กับคุณมาก่อนจะต้องได้รับการเอาใจใส่และการดูแลจากคุณเหมือน เช่นเคย แต่เพื่อป้องกันพวกเค้าสองตัวทะเลาะกัน สุนัขทั้งสองจะต้องเข้าใจให้ได้ว่าคนที่เป็นเจ้าของ ก็คือ เจ้านายของเค้านั่นเอง
สุนัขกับแมว
              บรรดา สุนัขและแมวจะต้องทำความรู้จักกันก่อนเป็นสิ่งแรก ทั้งนี้เพราะภาษากายของพวกเค้านั้นมีความแตกต่างกัน อย่างสิ้นเชิง ยกตัวอย่างเช่นหากแมวตวัดหาง แปลว่าแมวกำลังโกรธ แต่ถ้าสุนัขกระดิกหางนั่นแสดงว่าเค้ากำลังมีความสุข นี่คือความแตกต่างที่พวกเค้าจะต้องเรียนรู้ ทำนองเดียวกันจะทำอย่างไรถึงจะให้เจ้าแมวน้อยรู้ว่าตอนไหนที่สุนัขโกรธ และควรจะปล่อยให้สุนัขอยู่ลำพัง หากสุนัขกำลังคำรามเสียงต่ำๆอยู่ในลำคอ แมวจะเข้าใจผิดตีความว่าสุนัขกำลังอารมณ์ดี เพราะแมวจะส่งเสียงครางในลำคอเวลาที่สบายตัวและพอใจหรือมีความสุข
              และ ถ้าสุนัขยกเท้าหน้าขึ้นก็จะหมายถึง “มาเล่นด้วยกันเถอะ” แต่กิริยาอย่างเดียวกันถ้าเกิดกับแมว กลับจะหมายความว่าปฏิเสธ หากคุณให้ทั้งสุนัขและแมวได้เติบโตขึ้นมาด้วยกันได้ พวกเค้าจะเรียนรู้ภาษาของกันและกัน ได้อย่างดีรวมทั้งจะกลายมาเป็นเพื่อนคู่หูกันด้วย แต่ถ้าคุณพาแมวตัวใหม่เข้าบ้านที่มีสุนัขรออยู่แล้ว ทุกอย่างจะเริ่มต้นไปด้วยดี คุณจะต้องให้ทั้งสองตัวอยู่แยกกันสักสองถึงสามวัน แต่ควรจะให้แต่ละตัวได้ยินซึ่งกันและกันผ่านประตูที่กั้นอยู่ จากนั้นให้ทั้ง สองได้เจอหน้ากันเป็นครั้งแรก ให้คุณอุ้มแมวไว้ในอ้อมแขนของคุณแล้วให้เธอมองดูสุนัข และแสดงให้เห็นว่าสุนัขนั้น เป็นเพื่อนที่ดีได้ ส่วนสุนัขซึ่งคุ้นเคยกับการอยู่รวมกันเป็นฝูง จะยอมรับสมาชิกใหม่ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ถ้าในกรณีกลับกัน คือคุณมีแมวอยู่ที่บ้านอยู่ก่อนแล้วและสุนัขเป็นผู้มาทีหลัง คุณจะต้องใช้เวลาสักพักเพื่อทำให้แมวเห็นสุนัขเป็นเพื่อนให้ได้
สุนัขกับเพื่อนสัตว์อื่นๆ
              การ ทำให้สัตว์คุ้นเคยกับเพื่อนอื่นๆนั้น จะเป็นเรื่องง่ายหากพวกเค้าได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนตัวอื่นๆในช่วงเวลา แห่งการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันในสังคม สุนัขจะเข้าทำความรู้จักกับสัตว์ตัวอื่นผ่านทางการดมกลิ่นเป็นหลัก ดังนั้นสัตว์ต่างๆ ก็จะทำความรู้จักกับตัวอื่นๆผ่านทางการดมกลิ่นก่อนที่จะเห็นตัวจริงเช่นกัน คุณจึงสามารถช่วยให้พวกเค้ารู้จักกันได้ง่ายขึ้น ด้วยการให้สุนัขลองดมเศษผ้าห่มหรือเศษขี้เลื่อยที่มีกลิ่นสัตว์ตัวอื่นติด อยู่(แล้วแต่ชนิดของสัตว์)แบบอยู่ห่างๆ คุณสามารถวาง เศษผ้าเหล่านี้ไว้ข้างๆที่นอนของสุนัข ขั้นต่อไปก็ให้สุนัขลองมองสัตว์อีกตัวอยู่แบบห่างๆ ขณะที่สัตว์ตัวนั้นกำลังหลับอยู่ แล้วขณะเดียวกันก็ให้พูดอะไรก็ได้กับสุนัขด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่โปรดจำไว้ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการผูกมิตรเท่านั้น และอย่าลืมว่าห้ามทิ้งสุนัขไว้ตามลำพังกับสัตว์ตัวอื่นอย่างเด็ดขาด

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

กฏทอง 10 ประการของการดูแลสุนัข

  1. เมื่อ ลูกสุนัขมาถึงบ้าน สุนัขตัวใหม่ของคุณจะรู้สึกสับสนและตื่นเต้นกับภาพรอบตัวที่แปลกตา แต่หากคุณเตรียมการล่วงหน้าคุณจะสามารถทำให้สุนัขของคุณรู้สึกคุ้นเคยได้ใน เวลาเพียงนิดเดียว
  2. ปก ป้องสุนัขของคุณด้วยการฉีดวัคซีน การฉีดวัคซีนนั้นจะช่วยปกป้องสุนัขของคุณจากโอกาสที่จะติดโรคร้ายต่างๆได้ เราจะมาดูกันถึงเหตุผลบางประการที่ว่าทำไมถึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะคอยดูแล ให้สุนัขได้รับการฉีดวัคซีนเป็นประจำ
  3. การ ให้อาหารสุนัข เป็นเรื่องง่ายๆที่จะคอยดูแลสุนัขของคุณให้มีสุขภาพดีและมีความสุข ด้วยการให้เค้าได้รับสารอาหารที่มีความสมดุลย์ หัวข้อนี้จะเป็นคำแนะนำที่มีประโยชน์สำหรับการให้อาหารสุนัขอย่างถูกต้อง
  4. การ ฝึกสุนัขของคุณ การสอนให้สุนัขของคุณมีมารยาทที่ดีทั้งที่อยู่ในบ้านและขณะที่อยู่ข้างนอก ก็เป็นเรื่องสำคัญ แต่ว่ามันไม่งานน่าเบื่อที่ต้องใช้ความอดทนและไม่ต้องเพิ่มอะไร
  5. การ ดูแลสุนัขของคุณ เป็นเรื่องสำคัญสำหรับสุนัขของคุณที่จะต้องให้เค้าได้รับการตรวจร่าง กายอย่างสม่ำเสมอจากสัตว์แพทย์ แต่เรื่องการดูแลสุขภาพนั้นคุณควรจะเริ่มต้นจากที่บ้าน หัวข้อนี้จะเป็นคำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคบางประการที่จะดูแลเค้าให้อยู่ใน สภาพร่างกายที่สมบูรณ์ที่สุด
  6. ควรจะคุมกำเนิดสุนัขของคุณหรือเปล่า? หากคุณไม่ได้คิดที่จะขยายพันธุ์สุนัขของตัวเอง คุณก็ควรที่จะพิจารณาคุมกำเนิดเค้าเสีย  จาก การศึกษาพบว่าการคุมกำเนิดสามารถช่วยให้สุนัขมีชีวิตที่ยืนยาวเพิ่มขึ้น ด้วยชีวิตที่มีสุขภาพดี และเกิดประโยชน์ตามมาอีกมากมาย บทความนี้จะให้เหตุผลคุณได้ว่า ทำไม
  7. การ แต่งขนสุนัข เป็นเรื่องสำคัญสำหรับสุนัขของคุณ หากคุณจะตัดแต่งขนและดูแลเนื้อตัวเค้าให้ถูกต้องตามหลักการ เราจะมาดูกันถึงวิธีที่จะช่วยทำให้สุนัขของคุณมีแต่ความสะอาด
  8. การ เลี้ยงให้สุนัขของคุณ มีความกระฉับกระเฉงและสุขภาพดี สุนัขนั้นจำเป็นต้องออกกำลังกายให้มากและชอบที่จะให้รูปแบบการออกกำลังออกมา อยู่ในรูปของการเล่นเกมส์ หัวข้อนี้เป็นบางวิธีการที่จะช่วยดูแลให้เค้ามีสุขภาพดีด้วยการออกกำลังและ เล่นสนุก
  9. การ เข้าใจสุนัขของคุณ เพื่อที่จะสานความสัมพันธ์กับสุนัขของคุณให้แน่นแฟ้นขึ้น จึงมีความสำคัญที่คุณจะต้องหัดเรียนรู้และเข้าใจความจำเป็นและความต้องการ ของสุนัขตัวเอง เราจะมาดูกันถึงวิธีสื่อสารที่เป็นกุญแจเชื่อมความรักให้กันและกัน
  10. ความ รับผิดชอบสุนัขในฐานะที่เป็นเจ้าของ การเป็นเจ้าของสุนัขนั้นเป็นประสบการณ์ที่แสนวิเศษแต่บทบาทนี้จะนำมาซึ่ง ความรับผิดชอบที่ใหญ่หลวงด้วยเช่นกัน เราจะมาดูกันว่าสิ่งที่คุณจะสามารถทำอย่างถูกต้องในฐานะที่เป็นเจ้าของสุนัข นั้นเป็นอย่างไร

วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554

ภาษากายของสุนัข

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้สุนัขนั้น เป็นสัตว์เลี้ยงที่ดีของคนก็คือ วิธีหรือท่าทางของเค้าที่ใช้ในการสื่อสารกับคน สุนัขนั้นมองเห็นคนอย่างเรา เป็นเพื่อนพวกเดียวกับเค้า แต่คนละพันธุ์กันเท่านั้นเอง สุนัขสามารถรับรู้ถึงอารมณ์ และความต้องการของมนุษย์ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น การทำความ เข้าใจว่า สุนัขนั้นสามารถสื่อสารกับพวกเค้าด้วยกันเองอย่างไร จะช่วยให้เราเป็นเจ้านายที่ดีของสุนัข และช่วยให้เราสามารถแปลความหมายที่สุนัข พยายามที่จะบอกกับเราได้อย่างถูกต้อง
              สุนัข สามารถสื่อสารกับสุนัขอื่นๆผ่านการแสดงอากัปกิริยาหลายหลาก นั่นรวมไปถึง การแสดงสีหน้าหลายๆแบบ การทำท่าหลายๆ อย่าง เช่นการส่งเสียง หรือวิธีการดมกลิ่น สุนัขของคุณจะใช้ปากนุ่มๆของเค้า ดวงตาอันกลมโต รวมถึง หูยาวๆ และพวงหางในการแสดงอารมณ์ การที่คุณสามารถเข้าใจภาษากายของสุนัขจะทำให้คุณทราบได้ว่าตัวไหนเหนือกว่า ตัวไหน ในเวลาที่มีการเผชิญหน้ากันหรือในสถานการณ์อื่นๆ

              สุนัข ที่รู้สึกไม่กลัว ทำตัวเป็นนักเลง หรือแสดงอาการก้าวร้าว จะพยายามแสดงให้เรา (หรือคู่ต่อสู้ ของเค้าในบางกรณี) เห็นว่าตัวเค้านั้นใหญ่กว่า หรือมีพละกำลังมากกว่า โดยเค้าจะยืนตัวตั้ง ขาเหยียดตรง หางและหูตั้งขึ้น ทำอกตั้ง ขนรอบคอชูชัน และเป็นแนวยาวตลอดสันหลัง นอกจากนี้ คุณอาจจะพบได้อีกว่าสุนัขที่กำลังแสดงความรู้สึกแบบนี้จะโบกหางไปมาอย่าง ช้าๆ พร้อมขู่คำราม ในทางกลับกันสุนัขตัวที่กำลังยอมแพ้ (หรือยอมจำนนต่อตัวที่เก่งกว่า) จะแสดงท่าว่า ข้านี้ตัวกระจ้อยร่อย หมดน้ำยาเหมือนลูกสุนัขตัวเล็กๆ และอาจจะนอนหงายท้อง หูรี่ ไม่สู้แต่อย่างไร พอถึงตรงนี้ต้องขออธิบายกันก่อนว่า สุนัขตัวโตมักจะสั่งสอนหรือดุลูกสุนัขตัวเล็กๆ แต่เขาจะไม่ทำร้ายเจ้าตัวน้อยอย่างแน่นอน
              สุนัขตัวที่ยอม รับว่าอีกตัวนั้นเก่งกว่าหรือเหนือกว่า หรือยอมรับและเกรงกลัวคนผู้เป็นเจ้าของ จะแสดงอาการยำเกรง ด้วยการเข้าไปหาสุนัขตัวที่เหนือกว่าหรือเจ้าของ ทางด้านข้าง โดยหมอบคลานเตี้ยติดพื้น หางตกแต่แกว่งไปมา นอกจากนี้ คุณยังจะพบอีกว่าเค้าจะชอบเลียมือเลียไม้ เลียเท้าหรืออาจเลยไปถึงหน้า ของผู้เป็นเจ้าของ หรือสุนัขตัวที่เหนือกว่า ถ้ามันทำได้ แต่ถ้าเขายังเห็นว่าที่แสดงออกมานี้ยังแสดงอาการเอาใจได้ไม่มากพอ พวกเค้าอาจจะเพิ่มอาการให้มากขึ้นไปอีก โดยลงไป กลิ้งหงายท้อง ซึ่งบางตัวที่ทำอย่างนี้ อาจจะมีฉี่ออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
              ลักษณะ พฤติกรรมอย่างหนึ่งของสุนัขที่เหมือนกันแทบทุกตัวเลยและทุกคนคุ้นเคยกันเป็น อย่างดี ก็คือ การแกว่งหาง แทบทุกคนคงจะจำได้ว่าการโบกหางไปมาของสุนัขเป็นการแสดงอาการยินดีและความ เป็นมิตร ของสุนัข ส่วนการแกว่งหาง อย่างแรงจนก้นสะบัดไปมาเพื่อแสดงอารมณ์แบบเดียวกัน ก็จะมีให้เห็นในสุนัขที่เป็นลูกฝูง และสุนัขตัวที่หางสั้นๆ
              นอก จากนี้ หางยังเป็นตัวที่ใช้บอกอารมณ์อื่นๆได้อีกด้วย อย่างเช่น หางที่โบกอย่างช้าๆเกร็งๆ อยู่ในระดับเดียวกับ หลังของสุนัข จะแสดงว่าเค้ากำลังโกรธ ส่วนหางที่ห้อยตกอยู่ระหว่างก้นของสุนัข เป็นสัญญาณที่บอกว่าเค้ากำลังกลัว สำหรับสุนัขตัวที่กำลังมีความกังวลใจ กลุ้มใจ หรือกำลังกลัว หางจะตกและแกว่งอย่างเกร็งๆ เป็นสัญญาณที่แสดงถึงความรู้สึก ที่กำลังพยายามสงบอกสงบใจ สำหรับสุนัขบางพันธุ์ ยกตัวอย่างเช่น สุนัขพันธุ์ วิพเพท และ อิตาเลี่ยน เกรย์ฮาวด์ หางจะห้อยอยู่ ระหว่างขาหลังเป็นธรรมชาติของเขา แต่ถ้าหางของเขายกสูงเหนือแนวกระดูกสันหลังประมาณ 45 องศา แสดงว่าเขากำลังสนใจ อะไรบางอย่างอยู่
              การแสดงสีหน้าของ สุนัขก็สามารถบ่งบอกอารมณ์อันหลายหลากของเค้า ให้คุณได้ทราบเช่นเดียวกัน ไม่ว่าสุนัขนั้น จะมีความรู้สึกกังวลใจ หรือตื่นเต้น ตกใจกลัวหรืออยู่ในอารมณ์อยากสนุก หรือแม้แต่ อารมณ์อื่นๆก็ดี หากคุณเห็นสุนัขที่กำลัง ทำหูตั้ง นั่นแสดงว่าเค้ากำลังอยู่ในอาการที่เตรียมพร้อม ที่จะทำอะไร บางอย่าง หรือฟังเสียงอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่หากหูของเค้า ลู่หรือตกไปข้างหลังเสมอกับแนวศรีษะ ก็จะบ่งบอกถึงว่า สุนัขกำลังดีใจ ยอมแพ้ หรือกลัว หากต้องการอ่านอารมณ์ของสุนัข ให้ออก คุณก็จะต้องสังเกตการแสดงออกทางร่างกายของสุนัขประกอบไปพร้อมกันด้วย
              การ หรี่ตาของสุนัขแปลความหมายได้สองอย่าง คือถ้าไม่ได้กำลังมีความสุข ก็แสดงว่ากำลังยอมแพ้ แต่หากเมื่อไหร่ ก็ตามที่คุณพบว่า สุนัขที่บ้านทำตาเบิกกว้างและลุกโพลง นั่นย่อมแสดงว่าสุนัขกำลังจะแสดงอาการก้าวร้าวหรือกำลังเริ่มโมโห เหมือนอย่างเช่นในฝูงสัตว์ป่า หัวหน้าฝูงแสดงอาการเช่นนี้เพื่อควบคุมและดูแลบรรดาลูกฝูงที่ไม่เชื่อฟัง โดยการจ้อง ทั้งสอง ฝ่ายจะจ้องตากันจนกว่าจะมีฝ่ายใดเข้าท้าทายหรือมีฝ่ายใดก้มหัว ฝ่ายที่ยอมแพ้ก็จะลดหัวของตนให้ก้มต่ำลงแล้วหันกลับออกไป อย่างไรก็ดี หากการประจันหน้าของสุนัขที่เหนือกว่าและตัวที่ด้อยกว่ายังคงดำเนินอยู่ต่อ ไป แม้ว่าสุนัขตัวที่ด้อยกว่าจะหลีกทาง ไปแล้ว สุนัขที่ด้อยกว่านั้นอาจจะรู้สึกสับสนและแว้งกัดออกไปเพื่อเอาชนะความกลัวก็ ได้ และหากการทำสงครามทางสายตานี้ ไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด สุนัขตัวที่เหนือกว่าก็จะเข้าคุกคามและสั่งสอนอีกตัวด้วยการแยกเขี้ยวคำราม ขู่ หรือตรงเข้าตะลุมบอน
              คุณไม่ควรทดลองข่มสุนัขที่บ้าน ด้วยสายตาในขณะที่สุนัขกำลังหงุดหงิดหรือโมโห เพราะนี่อาจเป็นการยั่วยุให้สุนัข เริ่มตรงเข้าทำร้ายคุณ แต่กระนั้นก็ดี การจ้องมองตาในแบบที่สร้างความอบอุ่นใจให้กับสุนัขจะเป็นการช่วยเสริม สัมพันธภาพ ระหว่างคุณกับสุนัขตัวโปรดให้แนบแน่นขึ้นได้
              สุนัข ที่ว่าง่ายและสุนัขบางสายพันธุ์ที่เห็นชัดๆ อย่างเช่น ลาบราดอร์ ซึ่งเป็นสุนัขที่ทำหน้าเหมือนยิ้ม เวลาอ้าปาก เราจะเห็นฟันใต้กระพุ้งปากยานๆเผยอๆของเค้า อันนี้ดูเป็นมิตรดี แต่ในยามที่เค้าโมโห ปากของสุนัขลาบราดอร์ จะหุบเข้า เผยให้เห็นฟันขาวแวววาวทุกซี่ ซึ่งคุณจะได้ยินเสียงเค้าขู่ตามมา สำหรับสุนัขที่แสดงอาการอยากจะเล่น อาจจะแสดงพฤติกรรม ด้วยการเหยียดอุ้งเท้าตุ้มน้อยๆออกมาหา หรือชวนคุณเล่นผ้า และเค้าก็จะชอบเห่าเพื่อดึงดูดความสนใจ ส่วนกิริยาท่าทางอื่นๆ ของสุนัขที่สามารถสังเกตได้ก็อย่างเช่นชวนคุณเล่นของเล่น หรือไล่งับเพื่อนๆของเค้าเพื่อชวนให้เล่นวิ่งไล่กัน

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

ปรับเปลี่ยนอาหารสำหรับสุนัขให้ถูกต้องตามวัย

คุณเคยสั่ง สเต็คขนาด 16 ออนซ์(ชิ้นใหญ่พิเศษ) ให้กับคนอายุสักแปดสิบปีที่ไม่มีฟันสักซี่อยู่ในปากกินไหม? หรือเคยให้ ลูกชายวัยรุ่นกินข้าวต้มบดเละๆสำหรับเด็กบ้างหรือไม่? แม้ว่าจะไม่เคยแต่มันก็เป็นไปได้ที่คุณอาจจะทำ เรื่องคล้ายๆกันนี้ เวลาคุณเตรียมอาหารให้สุนัขของคุณ
              ด็อกเตอร์ จิม โซโคโลวสกี้ ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการเปลี่ยนอาหารสุนัขไว้ดังนี้

              “สุนัข นั้นเหมือนคน ซึ่งมีความต้องการอาหารที่แตกต่างกันตามช่วงอายุ แต่แย่หน่อยที่แต่ละช่วงชีวิตของสุนัขนั้น เราเห็นและแยกแยะได้ไม่ชัดเจนนัก” เขากล่าวต่อ “แต่เพราะว่าสุนัขนั้นจะบอกเราก็ไม่ได้ว่าเค้าอยากกินอะไรและเมื่อไหร่ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องรับผิดชอบในตัวเค้าในฐานะที่เป็น เจ้าของสุนัข ที่จะต้องรู้จักเรียนรู้และทำความรู้จัก กับช่วงชีวิตของเค้า หรือบรรดาเหตุการณ์ที่จะต้องสนองตอบเค้าด้วยอาหารที่ให้เค้าด้วยความถูกต้อง และครบถ้วนสารอาหาร”
              ช่วงชีวิตของสุนัขที่ถือว่ามีความ สำคัญและคุณจะต้องดูแลเอาใจใส่เขาอย่างใกล้ชิดให้เค้าได้รับสารอาหารอย่าง ถูกต้อง และเพียงพอ ได้แก่ ช่วงอายุมาก ช่วงตั้งครรภ์ ระยะพักฟื้น (หลังจากที่พ้นจากอาการบาดเจ็บ หรือการผ่าตัด หรือการป่วย) การป่วยเรื้อรัง ภาวะน้ำหนักเกิน และระดับการออกกำลังกายหรือการทำกิจกรรมระหว่างวันของสุนัข “ผู้ที่เป็นเจ้าของสุนัขจะต้องจำให้ขึ้นใจเลย ว่าสุนัขแต่ละตัวนั้นไม่เหมือนกัน” ด็อกเตอร์ โซโคโลวสกี้เพิ่มเติม เมื่อคุณต้องการเปลี่ยนอาหารให้กับเขา คุณต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปให้ร่างกายเขาคุ้นเคย

              ลูก สุนัขนั้นต้องการสารอาหารพื้นฐานเช่นเดียวกันกับสุนัขโต แตกต่างกันเพียงอาหารสำหรับลูกสุนัขนั้น จะต้องย่อยง่าย ให้พลังงานสูง และมีปริมาณโปรตีนสูง สำหรับการพัฒนาการทางร่างกาย และต้องมีสัดส่วนของ แคลเซี่ยมกับฟอสฟอรัสที่พอเหมาะด้วย
              และเนื่องจากว่า กระเพาะอาหารของลูกสุนัขนั้นมีขนาดเล็ก เขาควรได้รับอาหารเป็นมื้อเล็กๆ และแบ่งเป็นหลายๆ มื้อเพื่อให้เขาได้รับสารอาหารเพียงพอกับที่ร่างกายต้องการด้วย ลูกสุนัขที่กำลังโตจะต้องการพลังงานสำหรับการเจริญเติบโต เมื่อเทียบกับสุนัขโตแล้วในน้ำหนักขนาดเดียวกันประมาณสองถึงสามเท่า

              ใน สุนัขขนาดเล็กนั้นจะมีน้ำหนักเทียบเท่าสุนัขโตเมื่ออายุได้ประมาณ 6-9 เดือน ในขณะที่สุนัขพันธุ์ใหญ่นั้น จะต้องใช้เวลาประมาณ 18-24 เดือน จึงจะมีน้ำหนักได้ตามเกณฑ์ของสุนัขโต ในท้องตลาดตอนนี้มีอาหารเฉพาะ สำหรับสุนัขพันธุ์เล็กแล้ว (เป็นอาหารสำหรับสุนัขพันธุ์เล็กที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป) เพื่อเขาได้เติบโตไปอย่างที่ควรเป็น สุนัขแต่ละสายพันธุ์ก็จะมีความต้องการไม่เหมือนกัน

              โดย ทั่วไปแล้วเมื่อสุนัขนันมีอายุได้ 7 หรือ 8 ปี เค้าจะเชื่องช้าลง มีกิจกรรมน้อยลงและต้องการอาหารน้อยลง แม้ว่าจะขึ้นอยู่กับสุนัขแต่ละพันธุ์ก็ตาม ควรเริ่มหรับให้เขากินอาหารเป็นมื้อเล็กลงแต่บ่อยครั้งขึ้นแทนที่จะให้กิน เป็น มื้อเดียวใหญ่ๆ เพื่อจะได้ไม่เป็นการบั่นทอนระบบการย่อยอาหารของเค้า คุณสามาถเลือกให้อาหารสำหรับสุนัขที่มีอายุมาก โดยเฉพาะ ซึ่งจะเป็นทางเลือกที่ง่ายและมั่นใจได้ว่าเขาได้รับสารอาหารครบถ้วนและสมดุล เหมาะตามความต้องการของเขา

              สุนัข ที่ตั้งครรภ์ก็ต้องการอาหารมากเป็นพิเศษในช่วง 4 สัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์ด้วย ดังนั้นกฏทั่วไป สำหรับการให้อาหารสุนัขที่ตั้งครรภ์ก็คือคั้งแต่สัปดาห์ที่ 6 ของการตั้งครรภ์เป็นต้นไป ให้เพิ่มปริมาณอาหารเขึ้นทุกๆสัปดาห์ ในปริมาณสัปดาห์ละ 15% จากของเดิม ส่วนในช่วงเวลาหลังคลอดลูกสุนัข แม่สุนัขจะต้องให้นมและดูแลลูกๆเป็นพิเศษ จึงต้องการอาหารในปริมาณที่เพิ่มจากเดิมถึง 4 เท่า และนอกจากนี้แม่สุนัขยังต้องการน้ำดื่มที่สะอาดและใหม่ ในปริมาณมากเพียงพอด้วย

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโปรตีน

โปรตีน เป็นส่วนสำคัญของเซลสิ่งมีชีวิตทุกชนิดและทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง เช่นโปรตีนเป็นส่วนประกอบของโครงสร้าง เซลล์และกล้ามเนื้อ คุณอาจทราบดีว่าสุนัขจำเป็นต้องได้รับโปรตีนให้เพียงพอ เพื่อการเจริญเติบโต และซ่อมแซมของเซลต่าง ๆ แต่มีข้อเท็จจริงอีกว่าโปรตีนมีความสำคัญต่อการทำหน้าที่หลายอย่างของร่าง กายเช่น การควบคุมเมตาโบลิซึม (เช่น เอนไซม์ และฮอร์โมนบางชนิด) การขนส่งสารต่าง ๆ ไปทั่วร่างกาย และระบบป้องกันโรคของร่างกาย รวมทั้งสามารถให้พลังงานได้เทียบเท่าคาร์โบไฮเดรต ดังนั้นโปรตีนจึงมีความสำคัญมากต่อสุนัข
               โปรตีนเป็นโมเลกุลใหญ่ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนถึง 20 ชนิด แต่จะมีการเรียงตัวสลับกันไปมา ตามชนิดของโปรตีนซึ่งโปรตีนแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติเฉพาะตัวของโปรตีนเอง โปรตีนมีส่วนประกอบของคาร์บอนไฮโดรเจน และอ๊อกซิเจนเหมือนที่พบในไขมัน และคาร์โบไฮเดรต แต่โปรตีนยังมีความเฉพาะตัวแตกต่างจากสารอาหารอื่น ๆ คือมีส่วนประกอบของไนโตรเจน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างกรดอะมิโนต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโนอีก 2 ชนิดที่มีส่วนประกอบของกำมะถันอยู่ด้วย กรดอะมิโนต่าง ๆ ยังถูกจัดเป็นกรดอะมิโนจำเป็น และกรดอะมิโนไม่จำเป็น กรดอะมิโนจำเป็นหมายถึงชนิดที่ร่างกายไม่สามารถผลิตได้ หรือผลิตไม่เพียงพอ สำหรับสุนัขมีกรดอะมิโนจำเป็นอยู่ถึง 10 ชนิด โปรตีนในอาหารจะถูกย่อยเป็นกรดอะมิโนชนิดต่าง ๆ โดยเอ็นไซม์ตามลำดับดังนี้
Proteinà Long Chains Peptidesà Short Chains Peptidesà Amino Acid
            โดยกระบวนการย่อยจะเริ่มต้นที่บริเวณกระเพาะ แล้วผ่านเข้าสู่กระบวนการย่อยที่ลำไส้เล็ก ซึ่งในลำไส้นี้จะมีการดูดซึมผ่านไปในกระแสเลือด และกรดอะมิโนจะถูกกระจายเข้าสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเมื่อผ่านไปยังเซลที่จำเป็นต้องใช้กรดอะมิโนจะถูกกระจายเข้าสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเมื่อผ่านไปยังเซลที่จำเป็นต้องใช้กรดอะมิโน เซลก็จะดึงกรดอะมิโนออกจากเลือดไปใช้ โดยส่วนใหญ่แล้วตับจะทำหน้าที่ในการดึงไนโตรเจนออกจากโมเลกุล และเปลี่ยนเป็นแอมโมเนีย ซึ่งอาจเป็นแหล่งในการเปลี่ยนเป็นกรดอะมิโนชนิดใหม่หรือเปลี่ยนเป็นยูเรีย แล้วถูกขับออกจากไต เนื่องจากแอมโมเนียที่อยู่ในรูปอิสระจะค่อนข้างเป็นพิษสูง ยูเรียจึงอยู่ในรูปที่ปลอดภัยและสามารถขับออกจากร่างกายได้
             ส่วนที่เหลือของกรดอะมิโนจะถูกใช้ในรูปพลังงานสำหรับร่างกาย หรือเก็บในรูปไขมัน ซึ่งทั้งหมดนี้คุณภาพโปรตีนจากแหล่งต่าง ๆ มีความสัมพันธ์ต่อความสามารถในการย่อยได้ของร่างกาย และกรดอะมิโนที่นำไปใช้ได้ แหล่งโปรตีนที่คุณภาพสูงสุด สำหรับสัตว์อายุน้อยคือ ไข่ และนม ถัดไปคือเนื้อสัตว์ และปลา ส่วนผักและธัญญพืชอยู่อันดับสุดท้าย ผักและโปรตีนจากธัญญพืชมีกรดอะมิโนจำเป็นในระดับต่ำ อย่างไรก็ตามโปรตีนจากถั่วเหลืองถือว่าเป็นแหล่งโปรตีนที่ย่อยได้ดี และมีกรดอะมิโนจำนวนมาก โดยปกติแล้วสุนัขจะย่อยโปรตีนจากสัตว์ได้ดีกว่าโปรตีนจากพืช แต่ไม่ได้หมายความว่าเราควรใช้เพียงไข่ และนมเป็นแหล่งโปรตีนของสัตว์ เนื่องจากมีปัจจัยอื่น ๆ เช่นน้ำตาลแลคโตสในนมที่สุนัขย่อยได้ไม่ดี ดังนั้นการพิจารณาใช้โปรตีนต่าง ๆ นักโภชนศาสตร์จะพิจารณาความสมดุลย์ของโปรตีนจากแหล่งต่าง ๆ โดยละเอียด

ทำไมสุนัขต้องการโปรตีน
             โปรตีนในอาหารมีความเป็นต่อสุนัขด้วยเหตุผล 2 อย่างคือ
  1. เป็นแหล่งของกรดอะมิโน ซึ่งร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง
  2. เป็นแหล่งของไนโตรเจน เพื่อเป็นปัจจัยในการผลิตกรดอะมิโนอื่น ๆ และสารประกอบในโตรเจนอื่น ๆ
            ปกติ แล้วร่างกายจะสูญเสียโปรตีนจากร่างกายทุก ๆ วัน ฉะนั้นสุนัขทุกตัวจึงต้องการโปรตีนจากอาหารอย่างต่อเนื่องเพื่อชดเชยโปรตีน ที่สูญเสียจากการหลุดลอกของผิวหนัง เล็บ เส้นขน หรือเนื้อเยื่ออื่น ๆ ของร่างกายรวมั้งสารกัดหลั่งต่าง ๆ มีโปรตีนประมาณ 1% ในร่างกายจะถูกย่อยสลาย และสังเคราะห์ขึ้นใหม่ทุกวัน แต่ถ้าหากร่างกายไม่ได้รับโปรตีนที่เพียงพอ ร่างกายก็จะไม่สามารถสร้างกระบวนการนี้ได้ เนื่องจากการขาดกรดอะมิโนที่จำเป็นบางชนิด บางสภาวะของร่างกาย สุนัขจะต้องการโปรตีนมากขึ้น เช่นกำลังเจริญเติบโต ตั้งท้อง ให้นม หรือช่วงที่ร่างกายต้องการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ในช่วงสภาวะร่างกายเหล่านี้ ร่างกายจำเป็นต้องการโปรตีนที่มีคุณภาพ และย่อยได้ดี ลูกสุนัขที่กำลังเจริญเติบโตต้องการระดับโปรตีนที่ค่อนข้างสูงในอาหารแล้ว ตอบสนองเนื้อเยื่อที่กำลังเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนสึกหรอ แต่ระดับโปรตีนที่ต้องการจะแตกต่างตามพันธุ์ สภาวะแวดล้อม และแหล่งของโปรตีน บางคนอาจเข้าใจผิดว่าการเสริมโปรตีนจะช่วยให้ลูกสุนัขพัฒนาร่างกาย กล้ามเนี้อ แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะโปรตีนส่วนเกินจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงาน และพลังงานส่วนเกินอาจทำให้เกิดปัญหากับสุนัขได้ เพราะจะทำให้เกิดการสะสมของไขมัน และโรคอ้วนในสุนัขพันธุ์เล็ก หรือโครงสร้างกระดูกที่ผิดปกติในสุนัขพันธุ์ใหญ่ สุนัขอาจแสดงอาการขาดโปรตีนได้ในหลายกรณีทั้งที่เกิดจากการการขาดโปรตีนโดย ตรง หรือการขาดกรดอะมิโนจำเป็นบางชนิด โดยอาการที่เกิดขึ้นในสุนัขโตน้ำหนักตัวจะลดลง ส่วนในลูกสุนัขจะมีการเติบโตที่ช้ากว่าปกติ หรือกล้ามเนื้อลีบ ส่วนอาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้คือเบื่ออาหาร ขนหยาบ และแห้ง ติดโรคต่าง ๆ ง่ายขึ้น ในบางครั้งอาจพบอาการบวนน้ำตามช่วงล่างของร่างกาย
                 ในบางสภาวะของร่างกาย เช่นมีความเครียด บาดเจ็บ หรือป่วย ร่างกายสุนัขจะต้องการระดับโปรตีนจากอาหารสูงขึ้น แต่อย่างไรควรปรึกษาสัตวแพทย์ เพราะในบางโรค เราจำเป็นต้องจำกัดระดับโปรตีนในอาหาร เช่นภาวะไตวาย เนื่องจากไตจะกำจัดของเสียจากการย่อยโปรตีนได้น้อยลงในสุนัขที่ป่วยด้วยโรค ไตในหลายกรณีพบว่าการปรับลดระดับโปรตีนในอาหาร แต่ให้โปรตีนที่คุณภาพที่ดีขึ้นจะช่วยให้สุนัขมีอาการดีขึ้น เช่นเดียวกับสุนัขที่ป่วยด้วยโรคตับ ซึ่งตับก็ทำงานในการกำจัดของเสียจากการย่อยโปรตีนเช่นกัน ในสุนัขที่พบอาการแพ้อาหารในบางกรณีพบว่าโปรตีนที่ทำให้เกิดการแพ้บ่อย ๆ คือนมวัว เนื้อวัว และเนื้อแพะ ในบางครั้งการทราบแหล่งโปรตีนในอาหารจะช่วยให้เราจัดการกับกรณีการแพ้อาหาร เหล่านี้ได้ง่ายขึ้นโดยการเข้มงวดกับการเลือกแหล่งของโปรตีน

วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554

โภชนาการกับสุขภาพผิวหนัง และขนของสุนัข

ขน และผิวหนังของสุนัขเป็นสิ่งที่เราสามารถใช้บอกสุขภาพทั่วไปของสุนัขได้ เป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่า เราสามารถบ่งชี้อาการของสุนัขหากขาดสารอาหารชนิดต่าง ๆ ว่าจะเกิดอาการอย่างไร การขาดสารอาหารจะทำห้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้าง หน้าที่ และสีของขน และผิวหนังของสุนัขอย่างไร ดังนั้นเจ้าของสุนัขจึงเชื่อว่าการให้อาหารที่ดี จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยให้สัตว์เลี้ยงของพวกเขามีขน และผิวหนังที่ดี ดังนั้นการขาดสารอาหาร จึงไม่ค่อยเกิดกับสุนัขที่กินอาหารสำเร็จรูป คุณเริ่มสนใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับผลของสารอาหารต่อผิวหนัง และขนของสุนัขคุณแล้วใช่ไหม ในบทความนี้จะอธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับสารอาหารต่าง ๆ มีผลต่อผิวหนัง และขนอย่างไร ในกรณีที่ขาดสารอาหาร เช่นกรดไขมันที่จำเป็น (EFA) กรดอะมิโน (โปรตีน) แร่ธาตุ และวิตามิน การแพ้อาหาร และอาการย่อยอาหารที่ไม่ปกติ
               ผิวหนังชั้นบนของสุนัข หรือเรียกว่าหนังกำพร้า ต่อมที่อยู่ส่วนลึกของผิวหนังเรียกว่าต่อมขน (follicle) ซึ่งจะแตกต่างตามขนาดของเส้นขน และตำแหน่งของร่างกาย เส้นขนจะประกอบด้วยโปรตีนชนิดเคราติน และแร่ธาตุอยู่ในปริมาณเล็กน้อย นักโภชนาการสามารถตรวจความเข้มข้นของแร่ธาตุในขน เพื่อหาความต้องการของแร่ธาตุบางอย่างได้ในสัตว์บางชนิด สุนัขใช้อาหารโปรตีนที่กินแต่ละวันถึง 25% เพื่อการเจริญเติบโตของขน สิ่งที่ทำให้ขนของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีแต่สีต่าง ๆ คือเม็ดสีที่เรียกว่าเมลานิน ซึ่งจะอยู่บริเวณที่เรียกว่า hair cortex (ส่วนนอก)
              ขน และผิวหนังทำหน้าที่หลายอย่างที่ค่อนข้างมีระบบที่ซับซ้อน เช่น
ป้องกันร่างกาย (protection); ผิวหนังจะป้องกันอวัยวะภายในไม่ให้สัมผัสกับภายนอก ไม่ให้ถูกทำลายทั้งทางกายภาพ และทางเคมี
ผิว หนังยังช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้ปกติ ขนถูกสร้างชั้นป้องกันไม่ให้อุณหภูมิภายนอก และอากาศถูกผิวโดยตรง สุนัขจะไม่เหมือนมนุษย์ที่สามารถลดความร้อนในร่างกายโดยการขับเหงื่อซึ่ง สุนัขไม่สามารถทำได้ สุนัขมีเพียงพื้นที่สัมผัสของร่างกายบางแห่งเท่านั้นที่ระบายความร้อนได้ เช่นอุ้งเท้า การระบายความร้อนโดยการหอบของสุนัขจะช่วยระบายความร้อนผ่านออกจากร่างกาย
             กักเก็บ (Storage); ผิวหนังทำหน้าที่เก็บรักษาของเหลวไขมัน และอิเลคโตรไลท์ให้กับร่างกาย
             การ ขับออก (Excretion); ผิวหนังทำหน้าที่ในขับของเหลว แร่ธาตุบางชนิด สารไนโตรเจน และเศษของเสียจากเซล ผ่านเหงื่อ และต่อมไขมัน
รับรู้สัมผัส (Sensation); ผิวหนัง และขนทำหน้าที่รับรู้อุณหภูมิภายนอก และการสัมผัส
             การสื่อสาร (Communication); ผิวหนังทำหน้าที่สำคัญในการสื่อสารในสังคมของสัตว์เพราะผิวหนังจะปล่อยกลิ่น ซึ่งมีผลต่อพฤติกรรมทางเพศ และช่วยสร้างอาณาเขตของสัตว์ด้วย
            ขน ก็ทำหน้าที่สำคัญต่อความสัมพันธ์ของสัตว์เลี้ยง และเจ้าของ เจ้าของสัตว์เลี้ยงจำนวนมากที่มีความสุขกับการแปรง และทำความสะอาดขนของสุนัข ซึ่งพวกเขาควรได้อ่านประโยชน์ของการเลี้ยงสัตว์ที่มีผลต่อสุขภาพกาย และใจ นอกจากนี้เราก็ลูบขนพวกเขาเวลาที่เราชมเชยพวกเขา

อะไรที่มีผลต่อสภาพของขนสุนัข
            แม้ว่าคุณไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของขนของสุนัข แต่ไม่อาจมั่นใจได้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป การผลิตขนอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงของช่วงเวลา กลางวัน และอุณหภูมิ โดยสุนัขที่อาศัยอยู่นอกบ้านจะสังเกตเห็นได้ชัดเจนกว่า สุนัขจะผลัดขนปีละ 2 ครั้ง ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และใบไม้ร่วง สุนัขที่อยู่ในบ้านจะไม่ค่อยเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ชัดเจนนัก แต่อาจมีการผลัดขนตลอดทั้งปี มีโรคหลายชนิดที่ส่งผลต่อสุขภาพของผิวหนัง และขน แม้ว่าการขาดสารอาหารก็อาจเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อขน และผิวหนัง แต่ในประเทศตะวันตกที่คนส่วนใหญ่ใช้อาหารสำเร็จรูปเลี้ยงสุนัข จะไม่ค่อยพบปัญหานี้ นอกจากนี้ยังมีปัญหาความผิดปกติอื่น ๆ ที่อาจทำให้สภาพขน และผิวหนังผิดปกติ อย่างเช่น
- การติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และการติดพยาธิ
- การบาดเจ็บทางกายภาพหรือทางเคมี
- การรบกวนของระบบฮอร์โมน และเมตาโบลิซึ่ม
- และปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาหาร
ดังนั้นคุณควรปรึกษาสัตวแพทย์ทันทีที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง
ของผิวหนัง และขนของสุนัข

อาการทั่วไปที่มักพบเมื่อมีปัญหาอันเกี่ยวเนื่องจากสารอาหาร
             การเกิดรังแค คัน ขาดความเงางาม ขนร่วง การอักเสบของผิวหนัง ถ้าเกิดอาการเหล่านี้คุณอาจเริ่มต้นการแก้ไขได้ง่าย ๆ โดยเปลี่ยนมาใช้อาหารสำเร็จรูปดีกว่าที่จะพยายามเสริมอาหารเสริมชนิดต่าง ๆ
            การขาดกรดไขมันจำเป็น (EFA); สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด จำเป็นต้อง EFA เพื่อสร้างเยื่อบุผนังเซล นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับสุขภาพผิวหนัง และขน การทำงานของไต และระบบสืบพันธุ์ในสุนัข กรดลิโนเลอิคซึ่งพบส่วนใหญ่จากน้ำมันพืช เป็น EFA หลักที่สุนัขต้องการ หากขาดจะพบว่าขนหยาบแห้งมีรังแค แผลหายช้า และผิวแตก สุนัขที่ได้รับอาหารไขมันต่ำโดยไม่มีการเสริมน้ำมันพืชอย่างเพียงพอ บางครั้งการขาด EFA อาจเกิดในสุนัขที่มีปัญหาที่ตับอ่อน ตับหรือลำใส้เล็ก เนื่องจากการเกิดความบกพร่องของอวัยวะเหล่านี้อาจทำให้เกิดปัญหาการย่อยของ ไขมัน ถ้าสุนัขของคุณเกิดปัญหาเหล่านี้คุณจำเป็นที่ต้องพาเขาไปรับการรักษา และจัดการเรื่องอาหารภายใต้การดูแลของสัตวแพทย์

การขาดโปรตีน และกรดอะมิโน
             สุนัขอาจเกิดปัญหานี้ถ้าเขาได้รับสารอาหารที่มีโปรตีนคุณภาพสูงไม่เพียงพอ อาการที่พบอาจมีเรื่องสีขนที่เปลี่ยนแปลงไป หลุดร่วงง่าย แต่งอกขึ้นช้า การขาดกรดอะมิโนจำเพาะบางอย่างเช่นไทโรซีน ทริปโตเฟน และ ซี สตีน อาจมีผลต่อการสร้างผิวหนัง และสีขน แต่สุนัขมักไม่เกิดการขาดโปรตีน ยกเว้นเขาจะกินแต่ธัญพืชเท่านั้น การขาดกรดอะมิโนที่มีกำมะถัน เป็นส่วนประกอบเช่น เมทไทโอนีน และซีสตีน อาจทำให้เกิดปัญหาขนร่วง ปัญหาการขาดสารอาหารโปรตีนอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่สุนัขกินอาหารที่มีความ ไม่สมดุลย์ทางโภชนาการ แต่มีโปรตีนที่ได้จากสัตว์น้อยเกินไป ในสุนัขโตอาจเกิดปัญหาถ้าขาดโปรตีนเป็นเวลานานหลายเดือน หรือเป็นปีจนกว่าจะเห็นปัญหาดังกล่าว ดังนั้นคุณมักเห็นปัญหาในลูกสุนัขที่กำลังเติบโตมากกว่าซึ่งจะทำให้เกิด ปัญหาการเจริญเติบโตของลูกสุนัข

การขาดแร่ธาตุ
             ปัญหานี้อาจเกิดจากความไม่สมดุลย์ของแร่ธาตุหรือเกิดจากการรบกวนการดูดซึม ของแร่ธาตุในอาหาร เช่นการขาดสังกะสี อาจเกิดจากอาหารมีแคลเซียมสูงเกินไป ทำให้ร่างกายดูดซึมสังกะสีไม่ได้ อาการการขาดสังกะสีอาจพบว่าเกิดการขนร่วง ความผิดปกติของชั้นหนังกำพร้า(Parakeratosis) และขนสีเปลี่ยนแปลงไป (Loss of hair pigmentation) นักวิทยาศาสตร์พบว่าสังกะสีมีส่วนสำคัญในการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์ของผิว หนัง และขนของสุนัข สุนัขบางพันธุ์อาจเกิดอาการขาดสังกะสีได้ง่าย เช่นไซเบอเรียน ฮัสกีย์ และอลาสกัน มาลามุส โรคนี้มักเกิดขึ้นช่วงที่สุนัขถึงวัยสมบูรณ์พันธุ์ และอาจพบอาการผื่นแดง บริเวณปาก คาง ตา หู และบริเวณที่ถูกกดทับ เช่นศอก และเข่า โดยอาจพบปัญหาที่บริเวณอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ฝ่าเท้า และอวัยวะเพศ การแก้ปัญหาโดยการให้อาหารเสริมสังกะสีจะช่วยแก้ปัญหาได้ดี อาการขาดสังกะสีอาจเกิดในรูปแบบอื่น ๆ เช่นในลูกสุนัขในหลายพันธุ์โดยเฉพาะในพันธุ์ใหญ่ ผิวหนังจะแดง และหนาตัวบริเวณศรีษะร่างกาย และขา การเกิดปัญหาเช่นนี้มักเกิดจากการเสริมแคลเซียมมากเกินไป หรืออาหารมีปริมาณโปรตีนจากพืชมาก คุณควรระลึกไว้เสมอว่าแม้ว่าความต้องการสังกะสีของสุนัขจะมีเพียงเล็กน้อย และอาการเป็นพิษของสังกะสีจะเกิดเมื่อได้รับในขนาดที่สูงมาก
            การขาดไอโอดีน หรือความผิดปกติของเมตาโบลิซึมของไทรอยด์จะเกิดร่วมกับอาการขนร่วงทั้งตัว ตั้งแต่การเกิดความผิดปกติของเมตาโบลิซึมจะพบได้บ่อยกว่าการขาดสารอาหารชนิด นี้โดยตรง

การขาดวิตามิน
            วิตามินเอ และไบโอตินเป็นวิตามินที่พบการขาดได้บ่อยในสุนัข การขาดวิตามินเอ มักเกิดจากการให้อาหารที่ไขมันต่ำ อาหารคุณภาพต่ำ หรืออาหารสำเร็จรูปที่เก็บรักษาไว้ไม่ดี สัตว์ที่มีปัญหาของตับ และผิวหนังจะหยาบแห้งขาดความเงางาม และขนร่วง สุนัขอาจมีปัญหาตาอักเสบ หรือการหนาตัวของกระจกตาร่วมด้วย สำหรับไบโอตินยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดเพราะปกติแล้วสุนัขจะสามารถ สังเคราะห์ไบโอตินได้เองจากแบคทีเรียในลำใส้ ในการทดลองพบการขาดไบโอตินในสุนัขกรณีที่ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อหยุดการเจริญ เติบโตของแบคทีเรียในลำใส้ หรือกินไข่ขาวดิบจำนวนมาก ซึ่งรบกวนการดูดซึมของไบโอติน อาการขาดไบโอตินจะพบว่าสุนัขจะมีขนหยาบ ขาดเงางาม และขนร่วง อาจพบว่ามีการอักเสบผิวหนังเป็นแผลหลุม การขาดวิตามินอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อสุขภาพขน และผิวหนังได้แก่ ไรโบฟลาวิน ไพริดอกซิน ไนอาซีน วิตามินบี 12 กรดแพทโททีนิค กรดโฟลิค โคลีน คุณควรปรึกษาสัตวแพทย์หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับกลไกอันซับซ้อนของการทำงาน และความต้องการของวิตามินในสุนัข

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโปรตีน

โปรตีน เป็นส่วนสำคัญของเซลสิ่งมีชีวิตทุกชนิดและทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง เช่นโปรตีนเป็นส่วนประกอบของโครงสร้าง เซลล์และกล้ามเนื้อ คุณอาจทราบดีว่าสุนัขจำเป็นต้องได้รับโปรตีนให้เพียงพอ เพื่อการเจริญเติบโต และซ่อมแซมของเซลต่าง ๆ แต่มีข้อเท็จจริงอีกว่าโปรตีนมีความสำคัญต่อการทำหน้าที่หลายอย่างของร่าง กายเช่น การควบคุมเมตาโบลิซึม (เช่น เอนไซม์ และฮอร์โมนบางชนิด) การขนส่งสารต่าง ๆ ไปทั่วร่างกาย และระบบป้องกันโรคของร่างกาย รวมทั้งสามารถให้พลังงานได้เทียบเท่าคาร์โบไฮเดรต ดังนั้นโปรตีนจึงมีความสำคัญมากต่อสุนัข
               โปรตีนเป็นโมเลกุลใหญ่ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนถึง 20 ชนิด แต่จะมีการเรียงตัวสลับกันไปมา ตามชนิดของโปรตีนซึ่งโปรตีนแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติเฉพาะตัวของโปรตีนเอง โปรตีนมีส่วนประกอบของคาร์บอนไฮโดรเจน และอ๊อกซิเจนเหมือนที่พบในไขมัน และคาร์โบไฮเดรต แต่โปรตีนยังมีความเฉพาะตัวแตกต่างจากสารอาหารอื่น ๆ คือมีส่วนประกอบของไนโตรเจน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างกรดอะมิโนต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโนอีก 2 ชนิดที่มีส่วนประกอบของกำมะถันอยู่ด้วย กรดอะมิโนต่าง ๆ ยังถูกจัดเป็นกรดอะมิโนจำเป็น และกรดอะมิโนไม่จำเป็น กรดอะมิโนจำเป็นหมายถึงชนิดที่ร่างกายไม่สามารถผลิตได้ หรือผลิตไม่เพียงพอ สำหรับสุนัขมีกรดอะมิโนจำเป็นอยู่ถึง 10 ชนิด โปรตีนในอาหารจะถูกย่อยเป็นกรดอะมิโนชนิดต่าง ๆ โดยเอ็นไซม์ตามลำดับดังนี้
Proteinà Long Chains Peptidesà Short Chains Peptidesà Amino Acid
            โดยกระบวนการย่อยจะเริ่มต้นที่บริเวณกระเพาะ แล้วผ่านเข้าสู่กระบวนการย่อยที่ลำไส้เล็ก ซึ่งในลำไส้นี้จะมีการดูดซึมผ่านไปในกระแสเลือด และกรดอะมิโนจะถูกกระจายเข้าสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเมื่อผ่านไปยังเซลที่จำเป็นต้องใช้กรดอะมิโนจะถูกกระจายเข้าสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเมื่อผ่านไปยังเซลที่จำเป็นต้องใช้กรดอะมิโน เซลก็จะดึงกรดอะมิโนออกจากเลือดไปใช้ โดยส่วนใหญ่แล้วตับจะทำหน้าที่ในการดึงไนโตรเจนออกจากโมเลกุล และเปลี่ยนเป็นแอมโมเนีย ซึ่งอาจเป็นแหล่งในการเปลี่ยนเป็นกรดอะมิโนชนิดใหม่หรือเปลี่ยนเป็นยูเรีย แล้วถูกขับออกจากไต เนื่องจากแอมโมเนียที่อยู่ในรูปอิสระจะค่อนข้างเป็นพิษสูง ยูเรียจึงอยู่ในรูปที่ปลอดภัยและสามารถขับออกจากร่างกายได้
             ส่วนที่เหลือของกรดอะมิโนจะถูกใช้ในรูปพลังงานสำหรับร่างกาย หรือเก็บในรูปไขมัน ซึ่งทั้งหมดนี้คุณภาพโปรตีนจากแหล่งต่าง ๆ มีความสัมพันธ์ต่อความสามารถในการย่อยได้ของร่างกาย และกรดอะมิโนที่นำไปใช้ได้ แหล่งโปรตีนที่คุณภาพสูงสุด สำหรับสัตว์อายุน้อยคือ ไข่ และนม ถัดไปคือเนื้อสัตว์ และปลา ส่วนผักและธัญญพืชอยู่อันดับสุดท้าย ผักและโปรตีนจากธัญญพืชมีกรดอะมิโนจำเป็นในระดับต่ำ อย่างไรก็ตามโปรตีนจากถั่วเหลืองถือว่าเป็นแหล่งโปรตีนที่ย่อยได้ดี และมีกรดอะมิโนจำนวนมาก โดยปกติแล้วสุนัขจะย่อยโปรตีนจากสัตว์ได้ดีกว่าโปรตีนจากพืช แต่ไม่ได้หมายความว่าเราควรใช้เพียงไข่ และนมเป็นแหล่งโปรตีนของสัตว์ เนื่องจากมีปัจจัยอื่น ๆ เช่นน้ำตาลแลคโตสในนมที่สุนัขย่อยได้ไม่ดี ดังนั้นการพิจารณาใช้โปรตีนต่าง ๆ นักโภชนศาสตร์จะพิจารณาความสมดุลย์ของโปรตีนจากแหล่งต่าง ๆ โดยละเอียด

ทำไมสุนัขต้องการโปรตีน
             โปรตีนในอาหารมีความเป็นต่อสุนัขด้วยเหตุผล 2 อย่างคือ
  1. เป็นแหล่งของกรดอะมิโน ซึ่งร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง
  2. เป็นแหล่งของไนโตรเจน เพื่อเป็นปัจจัยในการผลิตกรดอะมิโนอื่น ๆ และสารประกอบในโตรเจนอื่น ๆ
            ปกติ แล้วร่างกายจะสูญเสียโปรตีนจากร่างกายทุก ๆ วัน ฉะนั้นสุนัขทุกตัวจึงต้องการโปรตีนจากอาหารอย่างต่อเนื่องเพื่อชดเชยโปรตีน ที่สูญเสียจากการหลุดลอกของผิวหนัง เล็บ เส้นขน หรือเนื้อเยื่ออื่น ๆ ของร่างกายรวมั้งสารกัดหลั่งต่าง ๆ มีโปรตีนประมาณ 1% ในร่างกายจะถูกย่อยสลาย และสังเคราะห์ขึ้นใหม่ทุกวัน แต่ถ้าหากร่างกายไม่ได้รับโปรตีนที่เพียงพอ ร่างกายก็จะไม่สามารถสร้างกระบวนการนี้ได้ เนื่องจากการขาดกรดอะมิโนที่จำเป็นบางชนิด บางสภาวะของร่างกาย สุนัขจะต้องการโปรตีนมากขึ้น เช่นกำลังเจริญเติบโต ตั้งท้อง ให้นม หรือช่วงที่ร่างกายต้องการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ในช่วงสภาวะร่างกายเหล่านี้ ร่างกายจำเป็นต้องการโปรตีนที่มีคุณภาพ และย่อยได้ดี ลูกสุนัขที่กำลังเจริญเติบโตต้องการระดับโปรตีนที่ค่อนข้างสูงในอาหารแล้ว ตอบสนองเนื้อเยื่อที่กำลังเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนสึกหรอ แต่ระดับโปรตีนที่ต้องการจะแตกต่างตามพันธุ์ สภาวะแวดล้อม และแหล่งของโปรตีน บางคนอาจเข้าใจผิดว่าการเสริมโปรตีนจะช่วยให้ลูกสุนัขพัฒนาร่างกาย กล้ามเนี้อ แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะโปรตีนส่วนเกินจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงาน และพลังงานส่วนเกินอาจทำให้เกิดปัญหากับสุนัขได้ เพราะจะทำให้เกิดการสะสมของไขมัน และโรคอ้วนในสุนัขพันธุ์เล็ก หรือโครงสร้างกระดูกที่ผิดปกติในสุนัขพันธุ์ใหญ่ สุนัขอาจแสดงอาการขาดโปรตีนได้ในหลายกรณีทั้งที่เกิดจากการการขาดโปรตีนโดย ตรง หรือการขาดกรดอะมิโนจำเป็นบางชนิด โดยอาการที่เกิดขึ้นในสุนัขโตน้ำหนักตัวจะลดลง ส่วนในลูกสุนัขจะมีการเติบโตที่ช้ากว่าปกติ หรือกล้ามเนื้อลีบ ส่วนอาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้คือเบื่ออาหาร ขนหยาบ และแห้ง ติดโรคต่าง ๆ ง่ายขึ้น ในบางครั้งอาจพบอาการบวนน้ำตามช่วงล่างของร่างกาย
                 ในบางสภาวะของร่างกาย เช่นมีความเครียด บาดเจ็บ หรือป่วย ร่างกายสุนัขจะต้องการระดับโปรตีนจากอาหารสูงขึ้น แต่อย่างไรควรปรึกษาสัตวแพทย์ เพราะในบางโรค เราจำเป็นต้องจำกัดระดับโปรตีนในอาหาร เช่นภาวะไตวาย เนื่องจากไตจะกำจัดของเสียจากการย่อยโปรตีนได้น้อยลงในสุนัขที่ป่วยด้วยโรค ไตในหลายกรณีพบว่าการปรับลดระดับโปรตีนในอาหาร แต่ให้โปรตีนที่คุณภาพที่ดีขึ้นจะช่วยให้สุนัขมีอาการดีขึ้น เช่นเดียวกับสุนัขที่ป่วยด้วยโรคตับ ซึ่งตับก็ทำงานในการกำจัดของเสียจากการย่อยโปรตีนเช่นกัน ในสุนัขที่พบอาการแพ้อาหารในบางกรณีพบว่าโปรตีนที่ทำให้เกิดการแพ้บ่อย ๆ คือนมวัว เนื้อวัว และเนื้อแพะ ในบางครั้งการทราบแหล่งโปรตีนในอาหารจะช่วยให้เราจัดการกับกรณีการแพ้อาหาร เหล่านี้ได้ง่ายขึ้นโดยการเข้มงวดกับการเลือกแหล่งของโปรตีน