วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คอลลี พันธุ์ขนหยาบ

ความเป็นมา สุนัขคอลลี พันธุ์ขนหยาบ มีต้นกำเนิดจากบริเวณรอยต่อระหว่างตอนเหนือ
ของประเทศอังกฤษ กับประเทศสกอตแลนด์โดยเกิดจากเมื่อเวลาที่ชาวโรมันเข้ามารุกรานประเทศอังกฤษ
ช่วงชีวิตเฉลี่ย คล้ายกับสุนัขทั่วไป คอลลี พันธุ์ขนหยาบสามารถอยู่ได้ถึง 14 ปี
ขนาดและน้ำหนักเฉลี่ย ความสูง 46 ซม.- 60 ซม. น้ำหนัก 22 กก.-35 กก.
อุปนิสัยประจำพันธุ์/ลักษณะประจำพันธุ์/อารมณ์ สุนัขคอลลี พันธุ์ขนหยาบ เป็นสุนัจที่ชาญฉลาดมาก และชอบที่จะสุงสิงกับคน เพราะฉะนั้นการฝึกสุนัขพันธุ์นี้ จึง ไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ไม่ควรอย่างยิ่ง ที่จะทิ้งให้อยู่หลังบ้านตามลำพังเพราะเขาจะรู้สึกขาดความรัก และรู้สึกถูกทอดทิ้งซึ่งจะทำให้เขาซึมเศร้าไป สุนัขพันธุ์นี้รักความสะอาดและเหมาะจะเป็นเพื่อนที่ดีกับเด็กๆ
ความเข้ากันได้กับสัตว์เลี้ยงอื่นๆ สุนัขคอลลี พันธุ์ขนหยาบชอบอยู่ร่วมกับสุนัขตัวอื่นๆ โดยเฉพาะถ้าเป็นเพศตรงข้าม และถ้าหากคุณมีสัตว์เลี้ยงตัวเล็ก ๆ ต้องเข้าใจว่าสัญชาตญาณของสุนัขเฝ้าแกะ สัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่เหมือนจะชอบวิ่งหนีก็จะถูกต้อนไปยังที่ใดที่หนึ่งซึ่งเขา ได้เล็งไว้
ความต้องการการเอาใจใส่ดูแล สุนัขคอลลี พันธุ์ขนหยาบมีขนยาวสวย และต้องได้รับการแปรงขนทุกอาทิตย์เพื่อให้ขนสวยงามอยู่ตลอด ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่แสดงอาการกระตือรือร้นขอให้คุณพาออกไปเดินเล่น แต่ถ้าได้ไป เขาจะเพลิดเพลิน และอารมณ์ดี พวกเขาฉลาดและยังตั้งใจทำงาน อย่างสุดความสามารถ มีพรสวรรค์ในการตามรอยและต้อนฝูงสัตว์ เพราะฉะนั้นเขาอาจจะอดใจไม่อยู่ เผลอไล่ต้อนสิ่งที่มาเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ๆ ตัวเขา คุณต้องพยายามสอนเขาให้เข้าใจ ว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น
ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม เหมาะกับเกือบทุกครอบครัวและเกือบทุกสถานการณ์เพราะความอ่อนโยนของเขา

ค็อกเกอร์ สเปเนียล

ตระกูลสเปเนียลเป็นตระกูลใหญ่ที่มีความเก่าแก่พอสมควร ค็อกเกอร์ สเปเนียล มีด้วยกัน 2 สายพันธุ์คือ สายอังกฤษ และสายอเมริกัน อเมริกัน ค็อกเกอร์ สเปเนียล ไม่ใช่สุนัขผสมข้ามสายพันธุ์ แต่มีวิวัฒนาการในสหรัฐอเมริกาโดยนักผสมพันธุ์ที่พัฒนาสายพันธุ์จาก อิงลิชค็อกเกอร์สเปเนียล จนกลายเป็นสายพันธุ์
อเมริกันที่มีเสน่ห์อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ อเมริกัน ค็อกเกอร์ สเปเนียล คู่หนึ่ง ได้ถูกนำเข้าไปในออสเตรเลีย
ระหว่างสงครามโลก 2
ช่วงชีวิตเฉลี่ย เมื่อคำนึงถึงตัวสุนัข จำไว้ว่าคุณกำลังนำเขามาอยู่กับคุณตลอดชีวิตของเขา อเมริกัน ค็อกเกอร์ สเปเนียล มีอายุได้ถึง 10-14 ปี
ขนาดและน้ำหนักเฉลี่ย 36-39 ซม.
อุปนิสัยประจำพันธุ์/ลักษณะประจำพันธุ์/อารมณ์ อเมริกัน ค็อกเกอร์ สเปเนียล มีนิสัยของสุนัขใช้ในกีฬาล่าสัตว์เป็นเอกลักษณ์กับประสาทสัมผัสที่พัฒนาอย่างเฉียบแหลมเพื่อการเก็บคาบและยังคงถูกใช้อย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกาเพื่อเป็นสุนัขใช้ในกีฬาล่าสัตว์ ในออสเตรเลียวัตถุประสงค์หลักคือเลี้ยงไว้เป็นธรรมชาติของสายพันธุ์ จะเข้าได้ง่ายกับคนแปลกหน้าจึงไม่ควรใช้เป็นสุนัขคุ้มกันหรือสุนัข
เฝ้ายาม โดยทั่วไปอารมณ์จะคงที่ และเป็นสายพันธุ์ที่ปรับตัวได้ดี ขนาดเล็กพอที่จะอุ้มไว้บน
ตักแต่ใหญ่พอสำหรับพาเดินเล่นไกลๆ และเล่นกับเขาเป็นเวลานานๆ
ความเข้ากันได้กับสัตว์เลี้ยงอื่นๆ พันธุ์นี้ปรับตัวเข้ากับสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ได้ง่าย
ความต้องการการเอาใจใส่ดูแล อเมริกัน ค็อกเกอร์ สเปเนียล ต้องการเวลาและความใส่ใจอย่างมากในการดูแลสุขภาพขนให้สวยสมบูรณ์อยู่เสมอโดยการแปรงขนบ่อยๆ และอาบน้ำ หรือพาไปร้านตัดแต่งขนเป็นประจำโดยต้องดูแลตั้งแต่ยังเป็นลูกสุนัขและตลอดชั่วชีวิตของสุนัขขณะที่อเมริกันค็อกเกอร์ ดูสง่างาม เมื่อสภาพขนสมบูรณ์เต็มที่ เจ้าของหลายคนจะเก็บ และคอยตัดเล็มปลายขนโดยปล่อยขนที่ขาและท้องให้ยาวเพียง 5 ซม. เท่านั้น เพื่อลดโอกาสที่ขนจะพันกันเป็นปม และง่ายต่อ การอาบน้ำ การทำให้ขนแห้ง และการตัดแต่งขน ช่วงฤดูหนาวควรดูแลเขาให้อยู่ในที่แห้งเท่าที่จะเป็นไปได้ ในกรณีพื้นเปียกแฉะหรือเป็นโคลนเท่านั้น ที่ควรหาเบาะรองนอนเพื่อช่วยป้องกันขนเสีย
ข้อควรจำ ถึงจะเป็นสุนัขพันธุ์เล็ก อเมริกันค็อกเกอร์ยังต้องการการออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน การขุดหลุมในสนามเป็นสัญญาณว่าเขากำลังเบื่อ จริงๆ แล้ว ควรปล่อยสุนัขพันธุ์นี้ให้วิ่งเล่นอิสระ โดยปราศจากสายจูงในบริเวณที่ปลอดภัย โดยสุนัขต้องอยู่ในสายตาและสามารถเรียกเขาได้ตลอดเวลาถึงแม้ว่า อเมริกัน ค็อกเกอร์ สเปเนียล เป็นสุนัขที่ตื่นตัวมากแต่การมีบริเวณที่จะจูงเขาเดินอย่างสม่ำเสมอ ถือว่าเป็นการออกกำลังกายที่พอเพียงแล้ว
ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม ผู้ที่เตรียมตัวเตรียมใจแล้วเรื่องที่ต้องคอยดูแลและตัดแต่งขนของเขาเป็นประจำ และจะไม่ผิดหวังเลยหากต้องการเพื่อนไว้เดินเล่นสักตัว
ทิ้งท้าย ตอนนี้คุณรู้จักสุนัขพันธุ์ อเมริกัน ค็อกเกอร์ สเปเนียล มากขึ้นเล็กน้อยและคงตัดสินใจได้ว่าเป็นสุนัขที่คุณต้องการหรือไม่ ถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ สมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัขแห่งประเทศไทย



ซามอย

ลักษณะทั่วไป
สุนัขหน้ายิ้ม ขนสีขาว ขนาดกลาง ชื่อพันธุ์ซามอยด์ถูกพามาจากไซบีเรียเมื่อศตวรรตที่แล้ว และในต้น
ศตวรรตนี้พวกเขาถูกใช้ ลากรถเลื่อนที่แถบอาร์คติก และแอนตาร์คติก สุนัขพันธุ์ซามอยด์เป็นสุนัขใจกล้า พวกเขาอดทนต่องานหนักแสนสาหัส และช่วยมนุษย์ทำงานท่ามกลางความหนาวเย็นของบริเวณขั้วโลกได้ ในอดีตสุนัขพันธุ์ ซามอยด์ถูกใช้ล่าสัตว์ เฝ้ากวางเรนเดียร์ และลากรถในแถบตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศไซบีเรีย ชนเผ่าซามอยด์ซึ่งเป็นคนพเนจรที่รักสงบ รักสุนัขแสนสวยพันธุ์นี้มาก และปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างสมาชิกในครอบครัวเลยทีเดียว ดังนั้นสุนัขซามอยด์จึงรักและเข้าใจมนุษย์ และกลายเป็นสายพันธุ์ซึ่งมีความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อมนุษย์สูงมาก
ช่วงชีวิตเฉลี่ย
ซามอยด์สามารถมีชีวิตได้ถึง 12 ปี
ขนาดและน้ำหนักเฉลี่ย
ความสูงประมาณ 46 ซม. ถึง 56 ซม.
อุปนิสัยประจำพันธุ์/ลักษณะประจำพันธุ์/อารมณ์
ถึงแม้ว่าจะสืบเชื้อสายมาจากทางแถบอาร์คติก ซามอยด์สามารถปรับตัวได้เป็นอย่างดีให้เข้ากับพื้นที่ที่มีอากาศ อบอุ่น พวกเขาสามารถนอนนอกบ้านได้แม้ว่าจะชอบนอนในบ้านมากกว่า เนื่องจากต้องการใช้เวลาส่วนใหญ่ ในแต่ละวันเป็นที่รักของครอบครัวและเป็นส่วนสำคัญไม่ว่าคุณจะทำกิจกรรมใด ๆ ก็ตาม ความกระตือรือร้น ในการมีส่วนร่วมเป็นลักษณะที่โดดเด่นของสายพันธุ์นี้ พวกเขาว่องไว อยากรู้อยากเห็น หัวไวและซุกวน ไม่ว่าจะเป็นเพศผู้หรือเมียก็น่ารักและเป็นมิตร เป็นสุนัขที่อารมณ์ดี ซามอยด์สามารถเข้ากับสัตว์เลี้ยงอื่นๆได้ดีมากหากโตมาด้วยกัน ถ้าคุณซื้อตัวที่โตแล้ว กรุณาบอกคนที่เลี้ยงมาก่อนว่าบ้านคุณเลี้ยงสัตว์อะไรบ้างและตรวจสอบดูว่า สุนัขคุณเหมาะแก่สภาพแวดล้อมหรือไม่
ความต้องการการเอาใจใส่ดูแล
ซามอยด์มีขนสีขาวและมีสองชั้น ขนด้านในจะแน่น ปุกปุยและจะผลัดขนปีละครั้ง ส่วนชั้นนอกจะเป็นขน ที่มีปลายสีเงิน ยาวหยาบและตรง การแต่งขนอาจเป็นได้ทั้งเรื่องที่เพลิดเพลินและน่าเบื่อแก่ทั้งสุนัขและเจ้า ของ สุนัขตัวเมียถ้าไม่ตอนจะติดสัดอย่างน้อยปีละครั้งถึงสองครั้งและขนจะร่วง ประมาณสองสามเดือนหลังจากการติดสัดแต่ละครั้ง สุนัขมีนิสัยวางอำนาจ ซึ่งหากได้รับการฝึกฝน จะเป็นประโยชน์แก่เจ้าของ
ข้อควรจำ
ครอบครัวที่มีเด็กเล็กควรเลือกเลี้ยงเพศเมีย แม้ว่าจริงๆแล้ว สุนัขพันธุ์นี้จะเหมาะสำหรับเด็กโตและวัยรุ่นที่โลดโผน มากกว่า แม้ว่าสุนัขพันธุ์ซามอยด์จะมีความอดทนสูงกับเด็กๆ แต่เราก็ไม่ควรปล่อยให้เด็กอยู่กับลูกสุนัขจอมซน และสุนัขที่ยังเล็กตามลำพัง
ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม
เหมาะสำหรับผู้ที่พร้อมจะให้เวลา ดูแลแต่งขนให้กับพันธุ์นี้เป็นประจำ

ปาปิยอง



ลักษณะทั่วไป
อุปนิสัย เป็นมิตร สง่างาม ลักษณะการเดินหรือท่าทางน่ารัก
ส่วนหัว มีขนาดเล็ก หัวกะโหลกมีความกว้างปานกลาง มีลักษณะกลม
หู มีขนาดใหญ่ปลายมน หูอาจจะตกหรือตั้ง หูกางคล้ายผีเสื้อ
ตา สีดำ มีขนาดปานกลาง ค่อนข้างกลม หางตาอยู่ในระดับ เดียวกับสันปาก ขอบตาสีดำ
ดั้งจมูก (stop) มีมุมหักพอประมาณ
ปาก (muzzle) มีความกว้างน้อยกว่า หัวกะโหลก ปากค่อน ข้างแหลมความยาวของปากมีขนาดประมาณ 1 ใน 3 ของความ ยาวของส่วนหัวทั้งหมดริมฝีปากตึงและบางเวลาหุบปากต้องไม่ เห็นลิ้น
จมูก สีดำขนาดเล็ก ค่อนข้างกลมส่วนบนของจมูกแบน
ฟัน ขบแบบกรรไกร

ลำตัว
มีความยาวมากกว่าความสูง เส้นหลังตรงอยู่ในแนวระดับ
คอ มีความยาวปานกลาง
อก มีความกว้างปานกลาง
ขาหน้า มีขนาดเล็ก ขาหน้าตรง นิยมตัดนิ้วติ่งออก เท้าค่อนข้างบางนิ้วเท้ายาว เท้าชี้ไปด้านหน้าไม่บิดซ้า ยหรือขวา
ขาหลัง ข้อเท้าหลังทำมุมกว้าง ข้อเท้าไม่บิดซ้ายหรือขวา ขาหลังค่อนข้างเล็กมองจากด้านหลัง่ขาหลัง ขนานกัน
หาง ยาว โคนหางอยู่ในระดับสูง หางโค้งพาดหลัง
ขน-สี ขนยาวคล้ายไหม เส้นขนเหยียดตรง ไม่มีขนชั้นใน บริเวณลำตัว หู หาง หลังขา มีขนยาว สีมีสีขาว และเป็นสีอื่น ๆ บริเวณหน้าควรมีสีด้านซ้าย-ขวาเหมือนกัน
ขนาด เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็กส่วนสูง ประมาณ 8-11 นิ้ว
น้ำหนัก เพศผู้ 8-10 ปอนด์
เพศเมีย หนักไม่เกิน 8 ปอนด์
ข้อบกพร่อง ใบหูเล็ก ขนสีขาวทั้งตัว หรือไม่มีสีขาวเลย จมูกไม่ใช่สีดำสูงเกิน 12 นิ้ว

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ชิวาวา

Chihuahau สุนัขพันธุ์นี้มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 มีถิ่นกำเนิดในดินแดนที่เป็นประเทศเม็กซิโกในปัจจุบันในการค้นพบทวีปอเมริกา ของ CHRISTOPHER COLUMBUS ก็มีบันทึกการค้นพบสุนัขพันธุ์ชิวาวานี้ด้วย จากตำนานกล่าวว่าชาวพื้นเมืองนิยมเลี้ยงสุนัขพันธุ์ชิวาวามาก และเกิดความเชื่อถือในเรื่องโชคลางต่างๆ ตลอดจนมีการนำสุนัขพันธุ์นี้ไปใช้ในพิธีบูชายันต์ มีผู้พบภาพสลักของสุนัขพันธุ์ตามก้อนหินต่างๆ และในถ้ำสุนัขพันธุ์ชิวาวามี 2 ชนิด คือ ชนิดขนสั้นและชนิดขนยาว

มาตราฐานสายพันธุ์
อุปนิสัย : ฉลาด ร่าเริง ตื่นตัวอยู่เสมอ
ศีรษะ : หัวกะโหลกมีลักษณะกลม แก้มค่อนข้างเล็ก
หู : มีขนาดใหญ่ ใบหูตั้งพันธุ์ขนยาว บริเวณหูจะมีขนยาว
ตา : มีลักษณะกลมโต
ปาก : มีขนาดค่อนข้างเล็ก
จมูก : ค่อนข้างส้น มีหลายสีขึ้นอยู่กับสีของขน
ฟัน : ขาว แข็งแรง ขบแบบกรรไกร 
ลำตัว : ความยาวของลำตัวมีขนาดยาวกว่าความสูงเส้นหลัง ตรงอยู่ในแนวระดับ
คอ : มีลักษณะกลม หัวไหล่เล็ก ชนิดขนยาวบริเวณจะมีขนมาก
อก : ค่อนข้างกว้าง
ขาหลัง : มีกล้ามเนื้อมาก ข้อเท้าหลังแข็งแรง ขาหลังอยู่ห่างกันพอเหมาะมองจากด้านหลัง ขาหลังตรงไม่บิด เท้ามีขนาดเล็ก นิ้วเท้าชิดเล็บค่อนข้างยาว
หาง : มีขนาดค่อนข้างยาว ลักษณะโค้งคล้ายเคียว อาจจะม้วนหางยกสูง
ขน-สี : ชนิดขนสั้นขนค่อนข้างนุ่มและสั้นทั่วทั้งตัว ชนิดขนยาวบริเวณหู อก ลำตัว ขา มีขนยาว สีมีหลายสี เป็นสีเดียวทั่วตัว แต่อาจจะมีสีจางบางส่วนได้
ขนาด : เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็กมาก
น้ำหนัก : มีน้ำหนักไม่เกิน 6 ปอนด์
การเดิน-วิ่ง : มีความสง่างาม
ข้อบกพร่อง : หางตัด หูตก น้ำหนักเกิน 6 ปอนด์

ชิห์สุ Shin Tzu

Shin Tzu สันนิษฐานว่าสุนัขพันธุ์ชิห์สุมี ถิ่นกำเนิดในประเทศจีน โดยใช้เป็นสัตว์เลี้ยงของพระจักรพรรดิ์ และเชื้อพระวงศ์ในพระราชสำนักในราชวงศ์หมิงและราชวงศ์แมนจู หลังจากนั้นได้มีการนำมาเลี้ยงในที่ต่างๆ ทั่วอังกฤษและยุโรป
ลักษณะทั่วไป
เป็นสุนัข ขนาดเล็ก ขนยาวจรดพื้น โครงสร้างมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความยาวลำตัวมากกว่าความสูง กว้างและลึก เส้นกลางหลังตรงไม่โค้ง ศีรษะมีลักษณะกว้างกลม จมูกและปากสั้นยาวไม่เกิน 1 นิ้ว บริเวณหน้าไม่มีรอยย่น รอยต่อระหว่างปากและหน้าเป็นมุมหักที่ชัดเจน ตามีลักษณะกลมโต นัยน์ตาสีเข้ม ตาไม่ยื่นโปนออกมา หูมีขนาดใหญ่และยาวปรกลงทั้ง 2 ข้าง ฟันหน้าบนและล่างขบกันพอดี หรือฟันล่างขบอยู่ด้านนอก หางม้วนงอวางพาดอยู่บนแผ่นหลังและขนยาวปรกคลุม
นิสัย
ชิห์สุเป็นสุนัขที่มีนิสัยขี้เล่น อ่อนโยน ชอบเล่นกับเด็ก
ขนาด
ขนาด เพศผู้ เพศเมีย
ความสูง (เซนติเมตร) 9 - 11 9 - 11
น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) 4-7 4-7
ขน
สุ นัขชิห์สุที่ดีควรมีขนที่ยาวจรดพื้น เส้นขนอ่อนนุ่ม ดกแน่น และมีลักษณะเหยียดตรงไม่หยิกงอ และขนชั้นในควรมีเส้นเล็กนุ่มและสั้นกว่าขนชั้นนอก ขนบริเวณศีรษะควรยาวจนสามารถรวบเป็นกระจุกได้
สี
มีได้หลายสี ตั้งแต่ สีขาว ดำ เทา น้ำตาล และเทาแกมแดง 2 - 3 สี และมักมีมาร์คกิ้งเป็นสีขาว บริเวณใบหน้า ไหล่ สะโพก และปลายหาง
 ลักษณะบกพร่อง
1. ศีรษะเล็กและแคบเกินไป
2. ฟันหน้าชุดบนขบเกยอยู่ด้านนอกฟันล่าง
3. ขนสั้น หรือหยิก
4. จมูกและปากยาวเกินไป
5. ขนบางไม่ดกแน่น

ซิลกี้ เทอร์เรีย

ซิลกี้ เทอร์เรีย มีถิ่นกำเนิดที่เมืองซิดนี่ ประเทศออสเตรเลีย แต่ยอร์คเชีย เทอเรีย จะมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ในช่วงต้นๆ "ซิลกี้ เทอเรีย" จะมีชื่อเรียกว่าซิดนี่ ซิลกี้ เทอร์เรีย เป็นการเรียกตามแหล่งกำเนิดคือเมืองซิดนี่ต่อมาเรียกชื่อย่อเป็นพันธุ์ "ซิลกี้ เทอร์เรีย" สุนัขพันธุ์นี้ลงประกวดครั้งแรกในประเทศออสเตรเลีย
ในราวปี 1907 และมีมาตรฐานพันธุ์ขึ้นในปี 1909 และต่อมาได้มมีการนำสุนัขซิลกี้ เทอร์เรีย เข้าไปพัฒนาสายพันธุ์ในอเมริกา ราวปี 1950 และได้ขึ้นทะเบียนต่อ A.K.C. ในปี ค.ศ.19595

ซิลกี้ เทอเรีย เป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่จัดรวมอยู่ในกลุ่ม "ทอย" เช่นเดียวกับ "ยอร์คเชีย เทอ เรีย"เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็ก เกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ของสุนัขพันธุ์ออสเตเรียน เทอร์เรียและยอร์คเชีย
มาตราฐานสายพันธุ์
โครงสร้าง : เป็นสุนัขที่มีรูปร่างขนาดเล็ก ลำตัวสั้นแต่ยาวกว่าส่วนสูง ขนยาว ว่องไว สามารถวิ่งไล่จับหนูได้อย่างคล่องแคล่ว
ศีรษะ : มีขนาดเล็กลักษณะแข็งแรง หัวเป็นรูปลิ่ม ส่วนหูค่อนข้างยาว หัวกะโหลกแบน
หู : มีขนาดเล็ก (แต่ใหญ่กว่ายอร์คเชีย เทอร์เรียอย่างเห็นได้ชัด) มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ขนตั้ง ขนที่ใบหูสั้น (ขนที่หูของยอร์คจะยาวกว่ามาก)
ตา : ค่อนข้างเล็กสีเข้ม แววตาเป็นประกาย ส่อแววฉลาดและร่าเริง
จมูก : มีสีดำ ดั้งจมูกมีมุมหักเล็กน้อย
ปาก : สัดส่วนความยาวของปากต่อกะโหลก ประมาณ 2.5 ต่อ 3.5
ฟัน : แข็งแรงขบแบบกรรไกร
ลำตัว : มีความยาวปานกลาง สมส่วน (ลำตัวจะยาวและใหญ่กว่ายอร์คเชีย เทอร์เรีย)
ส่วนอก : กว้างลึก จรดข้อศอก
ขาหน้า : แข็งแรงตั้งตรง เท้าเล็กคล้ายเท้าแมว นิ้วเท้าหนา เล็บสีเข้ม นิ้วติ่งตัดออก เท้าชี้ตรงไปด้านหน้าไม่บิดซ้ายหรือขวา
ขาหลัง : ข้อเท้าหลัง ท่อนบนแข็งแรงซึ่งจะประกอบด้วยกล้ามเนื้อข้อเท้าหลังทำมุมพอประมาณข้อเท้า หลังสั้น เท้าหลังคล้ายเท้าแมว เล็บสีดำ เท้าชี้ตรงไปด้านหน้า นิ้วติ่งหลังตัดออก
หาง : โคนหางอยู่ในตำแหน่งสูง หางตั้งตรง นิยมตัดหางสั้น บริเวณหางมีขนเล็กน้อย
ขน : ขนมีลักษณะเหยียดตรงเงางามคล้ายแพรวไหม บริเวณหลังขนหูยาวประมาณ 5-6 นิ้ว บริเวณท้องมีขนยาว (ซิลกี้ เทอร์เรีย จะมีขนที่สั้นและบางกว่า ยอร์คเชีย เทอร์เรีย อย่างเห็นได้ชัด)
สี : สีขนสีเทาเงิน-น้ำตาล ขนบริเวณใบหน้าและหูจะสั้น ส่วนท้ายของหัวจรดปลายหางมักจะเป็นสีเทาเงิน บริเวณปากแก้ม หู ข้อเท้าเป็นสีน้ำตาล
ขนาด : เป็นสุนัขขนาดเล็ก (เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วจะตัวใหญ่กว่า ยอร์คเชียร์
น้ำหนัก : ประมาณ 8-9 ปอนด์
ส่วนสูง : ประมาณ 9-10 นิ้ว
อุปนิสัย : สุภาพ เป็นมิตร ฉลาด ตื่นตัวอยู่เสมอ รักเด็กไม่ ขลาดกลัว

ดัชชุนด์

สุนัขดัชชุนด์ เป็นสุนัขที่อยู่ในกลุ่มฮาวด์มีรูปร่างที่กระทัดรัด ฉลาด ขี้ประจบ ลำตัวยาวดูแปลกตาจึงเป็นที่รู้จักกันในนาม "สุนัขไส้กรอก" ชื่อดัชชุนด์ (dachs หมายถึงสัตว์ชนิดหนึ่ง hund หมายถึงสุนัข ) ปรากฎในหนังสือเกี่ยวกับการล่าสัตว์ในยุโรปสมัยกลาง เป็นสุนัขที่มีความคล้ายคลึงสุนัขฮาวด์ในการแกะรอย และมีรูปร่างและอารมณ์คล้ายสุนัขเทอร์เรียร์ มีความสามารถในการติดตามตัวแบดเจอร์ ซึ่งเป็นสัตว์ป่าชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ใต้ดินและมักจะออกมาหาอาหารตอนกลางคืน จึงมักถูกเรียกว่าสุนัขแบดเจอร์
ด้วยความแข็งแรงและทรหด บวกกับความฉลาดและกล้าหาญ ทั้งบนและใต้พื้นดิน สุนัขดัชชุนด์หลายตัวรวมกันสามารถเข้าต่อกรกับหมีป่าได้อย่างสบาย ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้จึงมีการปรับปรุงพันธุ์เพื่อใช้ในเกมล่าสัตว์แบบอื่นๆ สุนัขดัชชุนด์ขนาดเล็กที่มีน้ำหนัก 16 - 22 ปอนด์ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับสุนัขจิ้งจอก และในการแกะรอยกวางที่ได้รับบาดเจ็บ สุนัขขนาดนี้ได้กลายมาเป็นที่รู้จักกันดีในอเมริกา สุนัขที่มีขนาดเล็กกว่า โดยมีน้ำหนัก 12 ปอนด์ ถูกนำมาใช้ล่าสัตว์ป่าชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า "Stoat" มีขนาดเล็ก มีขนสีน้ำตาล อาศัยอยู่ในยุโรปตอนเหนือ
 มาตราฐานสายพันธุ์
  • ลักษณะทั่วไป : รูปร่างเตี้ย ขาสั้น ตัวยาว แต่มีการพัฒนาของกล้ามเนื้อที่แน่นและแข็งแรง ลักษณะการเชิดศีรษะเต็มไปด้วยความกล้าหาญและมั่นใจ สีหน้าแสดงออกซึ่งความฉลาด ทั้งๆ ที่ขาสั้นเมื่อเทียบกับความยาวของลำตัว แต่ดัชชุนด์ไม่เคยแสดงออกถึงลักษณะของความพิการ งุ่มง่ามหรือยืดยาดในการเคลื่อนไหว มีความฉลาด สดใสและกล้าหาญโดยไม่คำนึงถึงอันตราย มุ่งมั่นในการทำงานทั้งบนดินและใต้ดิน ประสาทสัมผัสทั้งหมดพัฒนาอย่างดี มีคุณสมบัติพิเศษสำหรับเกมการล่าสัตว์ใต้ดิน นอกจากนี้ ยังเต็มไปด้วยจิตวิญญาณในการล่าสัตว์ รูปร่างและจมูกที่เหมาะสม ทำให้ได้เปรียบเหนือพันธุ์อื่นทั้งหมดของสุนัขที่ใช้ในกีฬาการสะกดรอย
  • ศีรษะ : เมื่อดูจากด้านบนหรือด้านข้าง ศีรษะจะค่อยๆ เรียวเล็กลงอย่างสม่ำเสมอไปยังปลายของจมูก เห็นเป็นเส้นชัดเจน กะโหลกศีรษะกลมเล็กน้อย และควรลาดเอียงทีละน้อยโดยไม่มีสต๊อป ไปยังแนวสันจมูกกระดูกเหนือตายื่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด ปลายจมูกยาวและแคบ ริมฝีปากยึดออกไปคลุมขากรรไกรล่าง แต่ไม่ลึกหรือยื่นออกมา มุมปากไม่มีเครื่องหมายชัดเจน จุดเชื่อมต่อของขากรรไกรบนและล่างอยู่ด้านหลังของตา
  • ฟัน : ฟันเขี้ยวมีพลังมาก ประกบกันได้สนิท และด้านนอกของฟันกัดด้านล่าง ควรสัมผัสกับด้านในของฟันบนอย่างสนิท
  • ตา : ขนาดปานกลาง รูปไข่ ตั้งอยู่ด้านข่าง แสดงออกถึงความฉลาด มีพลัง ร่าเริง ไม่ดุดัน สีน้ำตาลออกแดง จนถึงดำออกน้ำตาล สำหรับขนทุกชนิดและทุกสี ตาซึ่งเป็นสีขาวหรือสีขุ่นในกรณีของสุนัขลายต่าง ไม่เป็นข้อบกพร่องที่รุนแรงมากนัก แต่เป็นลักษณะที่ไม่พึงปรารถนา
  • หู : ไม่ อยู่ใกล้ส่วนบนของศีรษะ ไม่ค่อนไปข้างหน้ามากเกินไป ยาวแต่ไม่ยาวมาก ไม่แคบตั้ง หรือม้วนการเคลื่อนไหวของหูมองดูมีชีวิตชีวา และขอบด้านหน้าแตะกับแก้มพอดี
  • คอ : ค่อนข้างยาว มีมัดกล้ามเนื้อ ไม่มีผิวหนังยาน หย่อนตรงคอหอย ขยายออกอย่างสวยงามไปยังไหล่ แสดงความองอาจแต่ไม่แข็ง
  • หัวไหล่ : ยาว กว้าง ลาดเอียงและตั้งอยู่อย่างมั่นคงบนส่วนอก มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง
  • ขาหน้า : ขา หน้าท่อนบน มีความยาวเท่ากับแผ่นไหล่ และทำมุมฉากกัน กระดูกแข็งและเต็มด้วยกล้ามเนื้ออยู่แนบชิดกับซี่โครง สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นอิสระ ขาหน้าจะสั้นเมื่อเทียบกับพันธุ์อื่นๆ อุ้งเท้าหนา กว้างด้านหน้า และเอียงออกด้านนอกเล็กน้อย อัดแน่นนิ้วเท้างุ้มสวยงาม และอุ้มเท้าควรแนบชิดติดกัน มีเล็บที่แข็งแรงด้านล่างมีอุ้งเล็บที่แข็ง ติ่งเล็บอาจต้องถูกตัดออกไป
  • ลำตัว : โดยทั่วไปต้องยาว และเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อกระดูกเชิงกรานแข็งแรง อยู่ในแนวตรงที่สุดที่เป็นไปได้ ระหว่างจุดสูงสุดของไหล่ หน้าอกเป็นรูปไข่ และยืดขยายไปด้านล่างไปจนถึงจุดกึ่งกลางของขาหน้าโครงสร้างของกระดูกซี่โครง เต็มและเป็นรูปไข่ เมื่อมองจากด้านบนหรือจากด้านข้าง จะเห็นเต็ม เพื่อให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ เป็นตำแหน่งของหัวใจและปอดกระดูกซี่โครงกลมโค้งแล้วค่อยๆ ประสานกลมกลืนเข้ากับเส้นท้อง ถ้าความยาวถูกต้อง ขาหน้าเมื่อมองดูจากด้านข้างควรปิดคลุมจุดที่ต่ำสุดของเส้นอก เส้นท้องสูงขึ้นเล็กน้อย
  • ส่วนท้าย : เมื่อมองดูจากด้านหลัง ควรเท่ากับด้านกว้าง สะโพก ยาว กลม เต็ม กล้ามเนื้อแข็งแรง แต่อ่อนนิ่มแบบพลาสติก เพียงแต่ค่อยๆ จมหายไปทางหาง กระดูกเชิงกราน ไม่สั้นมาก แข็งแรง กระดูกต้นขา แข็งแรงและมีความยาวพอดี ทำมุมฉากกับกระดูกเชิงกราน ขาหลัง แข็งแรงและมีมัดกล้ามเนื้อ ข้อเข่า กว้างและแข็งแรง กระดูกน่อง เมื่อเปรียบเทียบกับพันธุ์อื่น จะมีขนาดสั้น ตั้งฉากกับกระดูกต้นขา และกล้ามเนื้อแข็งแรงอุ้งเท้าหลัง งุ้มอย่างสวยงาม และแนบชิดติดกันทั้ง 4 นิ้ว เท้าทั้งหมดควรวางในลักษณะเท่ากัน
  • หาง : อยู่ในแนวต่อเนื่องกับกระดูกสันหลัง ยืดออกไปโดยไม่มีส่วนโค้งมากนัก และไม่ควรชูหางในลักษณะร่าเริงเกินไป

ดัลเมเชียน

เป็นสุนัขที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน มีประวัติและตำนานอันยาวนาน รูปร่างของเขาเป็นการผสมผสานระหว่าง สุนัขพันธุ์พ้อยเตอร์และสุนัขพันธุ์ฮาวนด์ที่มีใบหูเล็กและผิวหนังที่ตึงของ ทวีปยุโรปตะวันออก เนื่องจากมันไม่ได้ถูกใช้เป็นสุนัขดมกลิ่นหรือช่วยในการล่าสัตว์ จึงเป็นการยากที่จะรู้ถึงเทือกเถาเหล่ากอที่แน่ชัด ตามตำนานได้เล่าขานว่า เล่าขานว่ามาจากทางตอนเหนือของประเทศอินเดียเมื่อนานมาแล้ว แล้วถูกนำเข้าทวีปยุโรปตะวันออกโดยชาวยิปซี เนื่องจากพบบันทึกเกี่ยวกับสุนัขพันธุ์นี้ในเมืองดัลเมเชียในยุคแรกๆ จึงมีการตั้งชื่อสุนัขพันธุ์นี้ว่าดัลเมเชียน
ไม่ว่าจะมีต้นกำเนิด อย่างไร เจ้าที่คอยวิ่งตามม้าเทียมรถตั้งแต่ยุคกลาง เพื่อปกป้องนักท่องเที่ยวจากโจรที่ปล้นคนเดินทาง แต่ในที่สุดมันก็กลายมาเป็นเครื่องประดับของผู้รากมากดี จากภาพที่สุนัขพันธุ์นี้วิ่งไปตามถนนของกรุงลอนดอน เพื่อกันผู้คนไม่ให้ไปเกะกะเจ้าหน้าที่ดับเพลิง จึงมีชื่อเล่นว่าสุนัขดับเพลิง ดัลเมเชียนเป็นสัตว์เลี้ยงที่สะอาด สงบเสงี่ยมและมองได้ไกล กลายเป็นสุนัขที่คอยระแวดระวังเกี่ยวกับเพลิงไหม้ เป็นสุนัขที่ไม่ค่อยเห่ายกเว้นจะมีอะไรหลงเข้ามา สุนัขพันธุ์นี้มีความอดทนอย่างเหลือเชื่อ สามารถที่จะวิ่งในความเร็วปานกลางแบบไม่มีกำหนด ความจำเป็นในการออกกำลังกายจึงมีมาก
 มาตราฐานสายพันธุ์ 
ลักษณะทั่วไป : ดัลเมเชียนเป็นสุนัขที่มีจุดโดดเด่น ตื่นตัว แข็งแรง เต็มไปด้วยมัดกล้าม กระฉับกระเฉง ไม่ขี้อาย เฉลียวฉลาด เป็นสุนัขที่มีความทรหดอดทนผนวกกับการวิ่งที่ค่อนข้างเร็ว
อุปนิสัย : ร่าเริง รักสะอาด ตื่นตัว แข็งแรง เต็มไปด้วยมัดกล้าม กระฉับกระเฉง ไม่ขี้อาย เฉลียวฉลาด เป็นสุนัขที่มีความทรหดอดทนผนวกกับการวิ่งที่ค่อนข้างเร็ว
ศีรษะ : มีความสมดุลกับร่างกาย มีความยาวพอสมควร ผิวหนังไม่หย่อน
ตา : อยู่ห่างกันพอประมาณ ขนาดปานกลางและมีลักษณะกลม ตาสีน้ำตาลหรือสีน้ำเงิน ตายิ่งเข้มยิ่งดี ตามักมีสีเข้มในดัลเมเชียนที่มีจุดสีดำมากกว่าในตัวที่มีจุดสีตับ
หู : ขนาดปานกลาง ฐานหูกว้างแล้วค่อยๆ สอบ ปลายหูมน หูบาง เมื่อตื่นตัวส่วนบนของหูจะอยู่ระดับเดียว กันกับยอดของกะโหลกศีรษะ
จมูก : สีดำในสุนัขที่มีจุดสีดำ และสีน้ำตาลในสุนัขที่มีจุดสีตับ
ริมฝีปาก : ปิดสนิท
คอ : เส้นหลัง ลำตัว คอโค้งได้ที่ ค่อนข้างยาว ไม่มีเหนียง
เส้นหลัง : เรียบ
อก : ลึก กว้างปานกลาง
หลัง : อยู่ในแนวราบและแข็งแรง
ชายกระเบนเหน็บ : สั้น เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและโค้งเล็กน้อย
หาง : ต่อจากเส้นหลังอย่างธรรมชาติ ไม่มีการตัดหาง หางชูขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ม้วน
เท้า : ทั้ง เท้าหน้าและเท้าหลังกลมและกระทัดรัด มีอุ้งเท้าที่หนาและมีสปริง เล็บสีดำหรือขาวในสุนัขที่จุดสีดำ และสีน้ำตาลหรือสีขาวในสุนัขที่มีจุดสีตับ
ขน : ละเอียด หนา สั้น เป็นมัน 

บรัสเซ็ลส กริฟฟอน

สุนัขพันธุ์นี้เกิดจากการผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์ German Affenpincher และสุนัขเบลเยี่ยม
  Brussels Griffon เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็กมี 2 ชนิด คือชนิดขนยาวและขนสั้น ชนิดขนสั้นเกิดจากการผสมพันธุ์ข้ามพันธุ์สุนัขพันธุ์ปั๊ก เนื่องจากสุนัขพันธุ์นี้มีขนาดเล็กดังนั้นบางครั้งเมื่อต้องพบผู้คนแปลกหน้า อาจจะตกใจกลัวได้ แต่หลังจากปลอบแล้วก็จะหาย
มาตราฐานสายพันธุ์
อุปนิสัย : ฉลาด ตื่นตัวอยู่เสมอ ฝึกสอนง่าย
ศีรษะ : หัวกะโหลกมีลักษณะกลมกว้าง ส่วนหัวรูปโดม
หู : มีขนาดเล็ก โคนหูอยู่ในระดับสูง นิยมตัดหูและดามไว้ให้ตั้ง ในกรณีที่ไม่ตัดหูใบหูจะกึ่งตั้งกึ่งพับ
ตา : มีขนาดใหญ่ สีดำ มีขนตายาว
ดั้งจมูก : มีมุมหักชัดเจน
ปาก : ริมฝีปากตึง สีดำ กรามล่างแข็งแรงกว่ากรามบน ขณะหุบปากต้องไม่เห็นลิ้นหรือฟันยื่นออกจากปาก
จมูก : สีดำ ขนาดใหญ่ ปลายจมูกโด่ง
ฟัน : แข็งแรง ขบแบบ undershot (ฟันล่างเหลื่อมฟันบน)
ลำตัว : ค่อนข้างสั้น เส้นหลังตรงอยู่ในแนวระดับ
คอ : มีความยาวปานกลาง มีลักษณะโค้ง ความสมดุลย์ของคอมีส่วนทำให้สุนัขมีความสง่างาม
อก : กว้างและลึก
ขาหน้า : มีความยาวปานกลาง มีกล้ามเนื้อขามาก ขาหน้าตั้งตรงทั้งสองอยู่ห่างกันพอเหมาะ ข้อเท้าสั้นและแข็งแรง เท้ามีลักษณะกลมเล็ก นิ้วเท้าชิด เล็บและฝ่าเท้ามีสีดำ
ขาหลัง : มีลักษณะแข็งแรง กล้ามเนื้อมาก ข้อเท้าแข็งแรง ข้อเท้าไม่บิด เท้าหลังมีลักษณะกลมเล็ก นิ้วเท้าชิด เล็บ ฝ่าเท้าสีดำ
หาง : โคนหางอยู่ในระดับสูง นิยมตัดหางให้เหลือ 1 ใน 3 ของความยาวหางเดิม
ขน - สี : มี 2 ชนิด คือชนิดพันธุ์ขนสั้นและขนยาว ชนิดขนยาวขนจะหยิกแข็ง บริเวณหัวและตาจะมีขนยาว ชนิดขนสั้นมีลักษณะขนคล้ายสุนัขพันธุ์บลูด๊อก มีหลายสีเช่นน้ำตาล น้ำตาล-ดำ ดำ (สีดำยกเว้นชนิดขนสั้น)
ขนาด : เป็นสุนัขขนาดเล็ก
น้ำหนัก : ประมาณ 8 - 10 ปอนด์
ข้อบกพร่อง : จมูกด่างหรือจมูกสีจาง มีแต้มขนสีขาว ลิ้นห้อย ฟันขบแบบ Overshot ชนิดขนสั้นมีสีดำทั้งตัว 

บลูเทอร์เรีย

เป็นนักสู้ที่อ่อนหวานโดยธรรมชาติ เป็นนักสู้ที่ใจถึง เป็นสุนัขอารักขาที่กระฉับกระเฉง รักครอบครัวและอาณาเขตของเขาโดยสัญชาติญาณ ผู้ที่อาศัยอยู่ตามอพาร์ทเม้นท์ซึ่งมีเนื้อที่จำกัดจะนิยมเลี้ยงสุนัขพันธุ์ นี้เพื่อช่วยอารักขา เนื่องจากเป็นสุนัขอารักขาที่ดี แล้วยังเป็นสุนัขที่ประหยัดอีกด้วย บางครั้งอาจจะดื้อรั้นไปบ้าง แต่ก็เป็นสุนัขที่เข้ากับเด็กๆ ได้เป็นอย่างดี เพื่อให้เขาอยู่ในโอวาทควรมีการฝึกปรือตั้งแต่วันแรกๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าจะเลี้ยงเขารวมกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น โดยธรรมชาติแล้วจะก้าวร้าวกับสุนัขที่ทำตัวเป็นเจ้าถิ่น
บูลเทอร์เรียเป็นสุนัขที่มีลําตัวและโครงสร้างที่แข็งแรง เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ มีส่วนสัดที่รับกันอย่างพอดี มีลักษณะปราดเปรียว คล่องแคล่วว่องไว จิตใจเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น มีไหวพริบและความฉลาดเป็นเลิศ ทั้งตัวเต็มไปด้วยความรู้สึกอย่างแรงกล้า แต่อีกส่วนก็มีจิตใจที่อ่อนหวาน อ่อนโยน ไม่ดื้อดึงกับระเบียบวินัย
 มาตราฐานสายพันธุ์
ศีรษะ : ต้องยาวมีความแข็งแรง ใบหน้าเต็มมองดูคล้ายไข่ ระยะจากปลายจมูกไปยังลูกตาเห็นได้ชัดเจนกว่า ระยะจากตาไปยังส่วนบนของกะโหลก กรามบนควรจะลึกและมองเห็นขอบเขตได้ชัดเจน
หู : ควรจะเล็ก บางและมีตำแหน่งใกล้กัน ตั้งตรงอยู่ตลอดเวลา
ตา : จมลึกอย่างพอเหมาะ สีเข้ม เป็นประกาย ตาเป็นรูปสามเหลี่ยม ข้อด้อยของสุนัขพันธุ์นี้คือมีตาสีฟ้า
จมูก : ควรเป็นสีดำ โค้งลงไปสู่ปลาย
คอ : เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ยาวและเป็นสันโค้ง ผิวเรียบไม่หย่อนยาน
อก : มองจากด้านหน้าอกต้องกว้าง มองจากด้านข้างอกลึก บริเวณอกใกล้พื้นกว่าบริเวณท้อง
ลำตัว : หลังต้องสั้นและแข็งแรง หัวไหล่ต้องกว้างและเรียบ มีความลาดเอียงไปด้านหลังอย่างเด่นชัด
ขา : มีกระดูดใหญ่ ไม่มีจุดที่น่าเกลียด เหยียดตรงได้รูป ข้อศอกทั้งสองข้างกางออก ข้อเท้าสั้นและตั้งตรง
เท้า : กลมและกระชับ มีขอบเขตชัดเจนเหมือนเท้าแมว
หาง : สั้น ห้อยต่ำ เรียว บริเวณโคนหางต้องหนาและเรียวแหลมไปยังปลาย
ขน : สั้น เรียบ เมื่อลูบจะสาก ขนเป็นมัน หนังต้องตึง
สี : ปรกติเป็นสีขาว มีสีอื่นบนใบหน้าเป็นที่ยอมรับได้ แต่ถ้ามีสีอื่นบนลำตัวจะกลายเป็นข้อด้อย
การเดิน : มีอิสระในการก้าวย่าง ขาหน้าและขาหลังเคลื่อนไหวขนานกัน ต้องหนักแน่น กระฉับกระเฉง
ข้อด้อย : ใบหน้าที่โค้งโก่งมาก ตาสีฟ้า มีสีขนสีอื่นมากกว่าสีขาว

บางแก้ว

เป็นสุนัขสายพันธุ์ไทย มีถิ่นกำเนิดที่บ้านบางแก้ว อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก และเชื่อว่าเกิดจากการผสมกันระหว่างสุนัขไทยกับสุนัขจิ้งจอก หลังจากนั้นในรุ่นลูกมีการผสมกับกลุ่มเครือญาติหลายชั่วอายุจนได้พันธุ์แท้ คือ บางแก้วในปัจจุบัน
ลักษณะทั่วไป
เป็นสุนัข ขนาดกลาง หูตั้งตรง ขนยาวเหยียดตรงหนา และปุย ใบหน้าจะสั้น แต่ปากแหลมยาวคล้ายปากสุนัขจิ้งจอก สง่างาม เวลายืนมีขาหน้าใหญ่กว่าขาหลัง นัยน์ตาเล็กกลมสีเหลืองทองคล้ำ ส่วนของหางจะเป็นพวงแต่มีบางตัวไม่เป็นพวง สำหรับลักษณะของใบหน้าแบ่งเป็น 3 แบบ คือ
หน้าเสือ คือ มีกระโหลกใหญ่ ใบหูเล็ก แววตาดุร้าย มีขนที่คอแต่ไม่รอบคอ และไม่มีเคราใต้คาง หางมีทั้งเป็นพวงและไม่เป็นพวง ส่วนขนมีทั้งฟูและไม่ฟู หน้าสิงห์โต คือ มีขนแผงคอใหญ่รอบคอ มีเครายาวใต้คาง กระโหลกใหญ่ ใบหูเล็กและตั้งตรง ช่วงตัวตอนหน้าใหญ่ตอนท้ายเล็ก แววตาปกติจะเซื่องซึม แต่จะดุร้ายและคล่องแคล่วว่องไวเมื่อเจอคนแปลกหน้า หางเป็นพวง จัดเป็นสุนัขที่หายากและมีราคาแพง
หน้าจิ้งจอก คือ ใบหน้าแหลม ใบหูใหญ่กว่าสองชนิดแรก หางเป็นพวง นิสัยไม่ค่อยดุร้าย
นิสัย
บาง แก้ว เป็นสุนัขที่มีนิสัยค่อนข้างดุ แต่มีความซื่อสัตย์และหวงเจ้าของมากเป็นพิเศษ ไม่ชอบคนแปลกหน้า มีความสามารถในการดมกลิ่นและจำเสียงเป็นเลิศ ตื่นตัวตลอดเวลา กล้าหาญ กินอาหารง่าย ชอบเล่นน้ำ นอกจากนี้ยังเป็นสุนัขที่หวงสิ่งของในบ้าน หากคนภายนอกบ้านแตะต้องจะกัดทันทีและกัดไม่ปล่อย
มาตรฐานพันธุ์
ขนาด เพศผู้ เพศเมีย
ความสูง (เซนติเมตร) 42 - 53 39 - 49
น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) 17 - 20
ขน
ลักษณะขนเป็นขนยาวสองชั้นและหนา ชั้นนอกจะเหยียดยาวและฟู ส่วนขนชั้นในจะนิ่มละเอียด และมีขนยาวที่แผงคอ
สี
มีสีแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
สีเดียว เช่น ขาว, ดำ, น้ำตาล, เทา และนาก
สีประ หรือสีผสม เช่น ขาว – ดำ, ขาว – น้ำตาล, ขาว – นาก และเทาน้ำตาล
สีที่นิยม คือ ขาว, ขาว – น้ำตาล, ขาว – ดำ, ดำ และ ลายเสือ

บาสเซ็ทฮาวด์

Basset Hound เป็นสุนัขที่มีความสามารถในการตามกลิ่น มีขาที่สั้น กระดูกขาใหญ่มาก และจัดว่าใหญ่กว่าสุนัขพันธุ์อื่นๆ มีลักษณะการเคลื่อนไหวที่สุขุม แต่ไม่งุ่มง่าม เป็นสุนัขอารมณ์ดี ใจดี ไม่ตกใจกลัวง่าย มีความอดทนสูงในการตามกลิ่นในทุ่งกว้างได้อย่างยาวนาน
มาตราฐานสายพันธุ์
ศีรษะ : มี ขนาดใหญ่และได้สัดส่วนที่ดี ความยาวจากด้านหลังของกะโหลก(Occiput)ไปจนถึงบริเวณจมูกและปาก (Muzzle) จะใหญ่กว่าความกว้างของหน้าผาก(Brow) ถ้าเทียบกับขนาดตัวทั้งหมดและหัวของมันจะมีขนาดพอดีๆ กะโหลกหัวจะมีลักษณะเป็นรูปโดม ซึ่งจะแสดงกระดูกหลังกะโหลก(Occiput) ที่ยื่นออกมาได้อย่างชัดเจน สำหรับกะโหลกแบนเรียบถือว่าเป็นข้อผิดพลาด(Falt) ความยาวจากจมูกถึงช่วงตรงกลางหน้าผากระหว่างตา(Stop) จะใกล้เคียงความยาวจาก Stop ถึง Occiput ด้านข้างทั้งสองด้านเรียบและห้อยย้อยลงมา มองจากด้านข้างหัวสุนัขจะเห็นแนวเส้นตรงบนดั้งจมูกนั้นจะตรง และขนานกับแนวเส้นตรงของกะโหลกหัว หนังบริเวณหัวทั้งหมด จะย่นเมื่อสุนัขก้มหัวลงรอยย่นจะปรากฎเป็นริ้วบริเวณหน้าผาก สุนัข Basset Hound ตัวใดก็ตามที่หนังหัวไม่ย่นจะถือว่าเป็นข้อผิดพลาด บริเวณด้านข้างระหว่างปากกับจมูก (Muzzle) ควรมีลักษณะใหญ่และห้อย จมูกควรมีสีเข้ม ยิ่งถ้าเป็นสีดำจะยิ่งดี จมูกมีขนาดใหญ่ รูจมูกกว้างสำหรับจมูกสีน้ำตาลเข้มถ้าเข้ากับสีของหัวสุนัขก็ถือว่าไม่ผิด แต่ไม่เป็นที่นิยม ฟัน (Teeth) ควรมีลักษณะใหญ่แข็งแรงเป็นระเบียบ ฟันบนจะขบกับฟันล่างเป็นแบบ Scissors ถ้าลักษณะฟันแบบ Overshot หรือ Undershot ถือเป็นข้อผิดพลาดอย่างร้ายแรง (serious Fault)
ริมฝีปาก : มีสีเข้ม มีลักษณะห้อยเอียงจากด้านหน้าไปด้านหลัง หนังบริเวณใต้คอ (Dewlap) จะห้อยมาก คอมีลักษณะแข็งแรงภายใต้ความยาวที่พอดีและมีส่วนโค้งที่ได้สัดส่วน ตา (Eyes) อ่อนโยน เศร้า ลักษณะของลูกตาจะเว้าลงไป ทำให้เห็นเปลือกตาล่างด้านใน ดวงตามีสีน้ำตาลจนถึงสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีอ่อนไม่ถือเป็นข้อผิดพลาด แต่ก็ไม่เป็นที่นิยม สำหรับลักษณะลูกตาที่โปนออกมาจากเบ้าถือเป็นข้อผิดพลาด หู(Ears) ค่อนข้างยาว ห้อยลงมาต่ำ ใบหูควรจะยาวมาปิดจมูกได้ ลักษณะของพื้นผิวใบหูนิ่มเหมือนกำมะหยี่ยาวเรียว ปลายหูม้วนเข้าข้างในเล็กน้อย กกหูจะอยู่ต่ำและค่อนไปทางด้านหลังของหัวบริเวณฐานกะโหลก ขณะที่ยืนนิ่งใบหูจะห้อยขนานกับต้นคอ ลักษณะกกหูที่อยู่สูงและใบหูแบบเรียบถือว่าเป็นข้อผิดพลาดร้ายแรง
ส่วนหน้าของลำตัว : จะมีอกยื่นออกมา เมื่อมองจากด้านข้าง ประกอบไปด้วยกระดูกอก(Sternum)ที่ยื่นออกมาอย่างเห็นได้ชัดโดยจะอยู่ระหว่าง ขาหน้า หัวไหล่และข้อศอกจะอยู่ชิดกับอก ช่วงห่างระหว่างอกกับพื้นควรห่างพอที่สุนัขจะเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวก แต่ไม่ควรจะห่างเกิน 1 ส่วน 3 ของความสูงสุนัขเมื่อโตเต็มที่โดยวัดจากหัวไหล่ ไหล่ควรจะเอียงไปทางด้านหลังและดูแข็งแรง หัวไหล่ที่ตั้งตรงและการออกรวมทั้งข้อศอกไม่ชิดลำตัวถือเป็นข้อผิดพลาดอย่าง ร้ายแรง
ขาหน้า : มีขาหน้าสั้น เต็มไปด้วยพละกำลัง กระดูกใหญ่มีรอยย่นรอบๆขา ลักษณะขาหน้าโค้งงอไปด้านหน้า (Knucking Over) ถือว่าขาดคุณสมบัติ (Disqualification) อุ้งเท้าใหญ่แข็งแรง นิ้วเท้าเรียงชิดติดกัน อุ้งเท้ามีลักษณะกลมและเอียงออกเล็กน้อยเท่าๆกันทั้งสองข้างสมดุลย์กับความ กว้างของหัวไหล่ ลักษณะข้อต่อระหว่างเท้ากับขาไม่ต่อกันถืเป็นความผิดพลาดอย่างแรง นิ้วเท้าทั้งสองข้างต้องไม่บิดและแบะออก เพราะมันจะทำหน้าที่รับน้ำหนักทั้งหมดของส่วนหน้าลำตัว ส่วนนิ้วเท้าเล็กๆข้างเท้าหน้าด้านใน (Dewclaws) สามารถตัดออกได้
ลำตัว : มีลำตัวยาว กระดูกซี่โครงเรียงกันไปจนถึงส่วนหลังของลำตัว กระดูกซี่โครงมีขนาดเหมาะสมที่จะปกป้องคุ้มครองหัวใจและปอด ส่วนกระดูกซี่โครงที่ยุบตัวหรือนูนออกมาไม่เรียบถือเป็นข้อผิดพลาด
กระดูกเส้นหลัง : จะมีลักษณะเป็นเส้นตรงได้ระดับเสมอกัน เส้นหลังที่มีลักษณะโค้งงอหรือเว้าลงถือเป็นข้อผิดพลาด
ส่วนหลังของลำตัว : จะมีลักษณะกลมและแข็งแรง ความกว้างของส่วนหลังนี้จะเท่ากับความกว้างของหัวไหล่ ลักษณะส่วนหลังจะไม่ปรากฎลักษณะของขาหลังที่หย่อนหรือขาที่ไม่มีแรง เมื่อมองแล้วจะสัมพันธ์กับลำตัวทั้งหมด ส่วนหลังควรจะสัมพันธ์กับส่วนหน้าของลำตัว เพื่อที่สุนัขจะสามารถยืนได้อย่างมั่นคงบนขาหลังของมัน โดยไม่มีลักษณะข้อหัวเข่าขาหลัง (Stifle) โค้งงอออกหรือโค้งงอเข้า เมื่อมองจากด้านหลังจะเห็นว่าขาหลังทั้งสองข้างจะต้องชี้ไปข้างหน้า ถ้าบริเวณด้านล่างของขาหลัง (กระดูก Lower Thigh) ตั้งชันจนไม่เกิดมุมถือเป็นข้อผิดพลาดอย่างร้ายแรง นิ้วเท้าเล็กๆ ที่ขาหลัง (Dewclaws) ก็สามารถตัดออกได้
หาง : หางจะไม่มีลักษณะเป็นข้อต่อ กระดูกของหางจะเรียงตัวต่อกันและโค้งเล็กน้อย หางจะเป็นเครื่องที่แสดงความมีชีวิตชีวาตามแบบฉบับของสุนัขกลุ่ม Hound ขนบริเวณใต้หางจะมีลักษณะหยาบ
ขนาด : ไม่ควรสูงเกิน 14 นิ้ว โดยวัดจากไหล่ Basset Hound สูงเกิน 15 นิ้ว ถือว่าขาดคุณสมบัติ
ลักษณะการเดิน : สุนัข Basset Hound จะเคลื่อนตัวอย่างนุ่มนวล มีกำลังและมีพลังงานในการเคลื่อนตัวเนื่องจาก Basset Hound เป็นสุนัขดมกลิ่นมันจึงมักเดินเอาจมูกดมพื้นอยู่เสมอ ขณะที่มันเดินขาหน้าและขาหลังจะก้าวขนานไป ในขณะที่เท้าหน้าข้างหนึ่งก้าวไปข้างหน้า เท้าหลังข้างนั้นก็จะดันตัวไปข้างหลังเสมอ เท้าหน้าเมื่อเวลาเดินไม่ควรแบะออกไปด้านข้าง หรือก้าวหน้าแล้วแต่ละเท้าทิศทางการก้าวเท้าไปคนละทิศละทางไม่ตรงกัน และข้อศอกควรจะแนบลำตัว ข้อขาหลังทั้งสองข้างควรตั้งตรงในขณะที่เดิน
ขน : ขนของ Basset Hound มีลักษณะแข็ง เรียบ และสั้น มีขนแน่นปกคลุมทั่วร่างกายทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับได้กับทุสภาพ อากาศ ผิวหนังมีลักษณะห้อยและยืดหยุ่นได้ดี สุนัข Basset Hound ที่มีขนยาวถือว่าขาดคุณสมบัติ
สีขน : ไม่มีกำหนดว่าควรจะมีสีอะไร เพียงแต่เป็นสีที่ยอมรับได้ในสุนัขกลุ่ม Hound เรื่องสีและลาย (Marking) จึงถือว่าไม่สำคัญ
ข้อบกพร่อง : * สูงเกิน 15 นิ้วเมื่อวัดจากหัวไหล่
* ขาหน้าโก่งงอไปข้างหน้า (Knuckled Over)
* ขนยาว

บาเซ็นจิ

สุนัขพันธุ์ BASENJI ได้สมญานามว่า "สุนัขที่ไม่เคยเห่า" เป็นสุนัขเก่าแก่พันธุ์หนึ่ง มีต้นกำเนิดแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ในประเทศอียิปต์ แต่เมื่ออาณาจักรอียิปต์ล่มสลายสุนัขพันธุ์นี้ก็พลอยลดจำนวนลงไปด้วย สุนัขพันธุ์นี้มีขนาดเล็กดูขายาว มีขนาดใกล้เคียงกับ FOX TERRIER วิ่งเร็วชอบจับหนู รูปร่างค่อนข้างคล้ายกวางตัวเล็กๆ
มาตราฐานสายพันธุ์
อุปนิสัย : ฉลาด ปราดเปรียว ไม่ชอบเห่า เป็นเพื่อนที่ดีของคน
ส่วนหัว : ส่วนหัวแบนเป็นรูปคล้ายลิ่ม หัวกะโหลกบริเวณหูจะใหญ่แล้วเรียวลงจรดตา หน้าผากตึงไม่มีรอยย่น
หู : เล็ก ตั้งตรง ใบหูมีขนนุ่ม โคนหูอยู่ในระดับสูง
ตา : สีเข้มเป็นรูปวงรี
ปาก : ค่อนข้างโค้งมน โคนปากใหญ่ แล้วเรียวลงสู่ปลายจมูก
จมูก : สีดำสนิท
ฟัน : ขบแบบกรรไกร
ลำตัว : สั้น เส้นหลังตรงแข็งแรง ขนานกับพื้น ความสูงของลำตัวและความยาวของลำตัว มีขนาดใกล้เคียงกัน
คอ : ค่อนข้างยาว
อก : ลึก มีความกว้างปานกลาง ซี่โครงกางพอเหมาะ อกลึกจรดข้อศอก
ขาหน้า : ตรงแข็งแรง กระดูกข้อเท้าหน้ามีความยาวพอเหมาะ มองจากด้านหน้าเท้าทั้งสองตั้งตรงขนานกัน นิ้วเท้าเล็กชิดกัน
ลำตัวส่วนท้าย ประกอบด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรง
ขาหลัง : มองจากด้านหลัง ขาหลังทั้งสองข้างตั้งตรงขนานกัน ห่างกันพอเหมาะ
หาง : ตั้งม้วนเล็กน้อย จะม้วนด้านซ้ายหรือขวาก็ได้
ขน-สี : ขนนุ่มสั้นมันวาว ขนมีหลายสี เช่น น้ำตาล หรือน้ำตาลแดง หรือดำ อาจจะมีสีขาวที่อก, เท้า, ปลายหางหรือบริเวณลำคอก็ได้
ขนาด : มีขนาดค่อนข้างเล็ก
น้ำหนัก : เพศเมียประมาณ 22 ปอนด์ เพศผู้ประมาณ 24 ปอนด์
ส่วนสูง : เพศเมียสูงประมาณ 16 นิ้ว เพศผู้สูงประมาณ 17 นิ้ว
ข้อบกพร่อง : หัวกลมเป็นรูปโดม, ตากลม, โคนหูอยู่ในระดับต่ำ, ฟันขบผิดปกติ, อกกว้างเกินไป, กระดูกใหญ่เกินไป, ขนสีครีมหรือสีจางมาก 

บีเกิล

สุนัขสายพันธุ์ บีเกิล (Beagle) เป็นสุนัขที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความเฉลียวฉลาด ซุกซน คล่องแคล่วว่องไว ซึ่งก็เป็นเพราะพวกเค้าสืบสายเลือดมาจากบรรพบุรุษนักล่ากระต่ายฝีมือฉกาจ
ปัจจุบันนี้แม้จะไม่ได้ทำหน้าที่ผู้ช่วยนายพรานเหมือนสมัยก่อน แต่เค้าก็ได้รับการยอมรับในฐานะสุนัขสำหรับเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนที่สุดแสนน่า รัก โกรธใครไม่เป็น เหมาะสำหรับสร้างความสุขให้แก่สมาชิกทุกเพศทุกวัยในครอบครัว (แหม...ช่างมีคุณสมบัติรอบตัวซะจริงๆ) จนหากให้จัดอันดับสายพันธุ์สุนัขซึ่งเลี้ยงเป็นเพื่อนได้ดีที่สุด เชื่อแน่ว่าบีเกิลคงถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆ เป็นแน่...
ว่าแล้วก็อย่ารอช้า...เราไปทำความรู้จักกับน้องหมาน่ารักน่าหยิกสายพันธุ์นี้กันเลยดีกว่า...
ความเป็นมาของบีเกิล
ต้นกำเนิดของสุนัขสายพันธุ์บีเกิลนั้นไม่เป็นที่แน่ชัด แต่เชื่อกันว่าสุนัขกลุ่ม Hound สายพันธุ์นี้น่าจะมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอังกฤษตั้งแต่ยุคสมัยก่อนที่ จักรวรรดิโรมันจะเข้ายึดครอง บางรายงานกล่าวว่ามีการพบสุนัขสายพันธุ์นี้ในสมัยฝรั่งเศสและกรีกโบราณ และมีหลักฐานที่แน่ชัดชิ้นหนึ่งซึ่งบ่งชี้ว่ามีการใช้สุนัขสายพันธุ์นี้ สำหรับล่าสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ตัวเล็กๆ อย่างกระต่าย ตั้งแต่ยุคสงครามครูเสด
  สุนัขสายพันธุ์บีเกิลสามารถพบเจอได้เกือบทุกพื้นที่ของประเทศอังกฤษเนื่อง จากเป็นสายพันธุ์ซึ่งชาวอังกฤษนิยมเพาะมากที่สุดสายพันธุ์หนึ่ง ความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งของพวกเค้าคือมีความคล่องแคล่วปราดเปรียวอย่างสูง ในการไล่ล่าและแกะรอยกระต่ายป่า ดังนั้นนายพรานชาวอังกฤษจึงมักพาพวกเค้าออกไปเป็นฝูงแต่เช้ามืดเพื่อดมกลิ่น หาเหยื่อ เมื่อพวกเค้าได้กลิ่นเป้าหมายก็จะเห่าบอกเจ้านายและตามตีวงล้อมอย่างไม่ลดละ บีบให้เหยื่อเหลือทางหนีน้อยที่สุด (และหากเจ้ากระต่ายตัดสินใจหนีออกทางที่เหลืออยู่ก็มักต้องพบนายพรานดักรอ อยู่นั่นเอง) ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้เป็นที่นิยมของนายพรานชาวอังกฤษเป็นอย่างมาก
  ในเวลาต่อมา ได้มีผู้นำสุนัขสายพันธุ์บีเกิลไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือว่าได้รับความนิยมในระดับหนึ่ง หากแต่บีเกิลที่เข้ามาในสหรัฐอเมริกาช่วงแรกๆ นั้นก็ยังไม่มีรูปร่างสวยงามตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์เหมือนอย่างบีเกิลของ ประเทศอังกฤษ กระทั่งถึงปี ค.ศ.1870 จึงมีนักพัฒนาสายพันธุ์สุนัขชาวสหรัฐฯ กลุ่มหนึ่งเริ่มหันมาสนใจพัฒนาสายพันธุ์ของบีเกิลอย่างจริงจัง จนทำให้ได้บีเกิลซึ่งมีลักษณะดี เป็นที่ยอมรับ ถูกต้องตามมาตรฐานในที่สุด ซึ่ง American Kennel Club ก็ได้ทำการจดทะเบียนรับรองสุนัขสายพันธุ์บีเกิลตัวแรกเมื่อปี ค.ศ.1885 และต่อมาในปี ค.ศ.1888 จึงได้มีการก่อตั้งชมรมผู้เพาะพันธุ์บีเกิลแห่งสหรัฐฯ ขึ้นอย่างเป็นทางการ 
ปัจจุบันสุนัขสายพันธุ์บีเกิลยังคงเป็นสุนัขซึ่งมีผู้นิยมเลี้ยงเป็น จำนวนมาก เนื่องด้วยความน่ารัก คล่องแคล่ว และเป็นมิตรกับทุกคน อย่างไรก็ตามบีเกิลอาจไม่เหมาะนักสำหรับการเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน เพราะความที่เค้าต้องการสังคมสูง ชอบเล่นสนุก ชอบผูกมิตรกับสมาชิกในครอบครัวและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ดังนั้นหากปล่อยให้เค้าต้องอยู่ตามลำพังเป็นเวลานานจนเกินไปอาจทำให้เค้า เกิดความเครียดและนำไปสู่พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์หลายๆ ประการ 
มาตรฐานสายพันธุ์
นิสัย : ใจกล้า จงรักภักดี กระฉับกระเฉง กล้าตัดสินใจ ตื่นตัว ขี้สงสัย สุภาพอ่อนโยน รักความสะอาด เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย ชอบเข้าสังคม บ้านที่มีเด็กก็สามารถเลี้ยงเค้าไว้เป็นเพื่อนเล่นกับเด็กๆ ได้
ขนาด : สูง 33-40 เซนติเมตร น้ำหนัก 8-14 กิโลกรัม
ศีรษะ : กะโหลกค่อนข้างยาว ท้ายทอยเป็นรูปโดม หน้าผากกว้างและเต็ม จมูกยาวปานกลาง ส่วนปลายจมูกเห็นชัดเจน
ฟัน : ฟันแข็งแรง สีขาว สบกันพอดี
ตา : ดวงตากลมใหญ่ สายตานุ่มนวล แต่แววตาแสดงออกถึงความกระตือรือร้น ดวงตามีสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลแดง
หู : หูอยู่ต่ำเล็กน้อย ชิดกับหัว ขอบหน้าของใบหูชิดกับแก้ม หูมีความยาวมากถ้าจับกางออก ใบหูบาง ขนาดค่อนข้างกว้างและกลม หูไม่ตั้ง
คอ : ลำคอยาวปานกลาง แข็งแรง ไม่ควรมีรอยย่นของผิวหนัง (อาจมีบ้างเล็กน้อยในตำแหน่งด้านล่างตรงมุมของกราม ซึ่งลักษณะเช่นนี้ยังยอมรับได้)
ลำตัว : ลำตัวสะอาด เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เส้นโค้งของไหล่จะทำให้การเดินและท่าทางของบีเกิลเต็มไปด้วยความแข็งแรง ดูไม่หนาเทอะทะ
ขาหน้า : ขาตรง เต็มไปด้วยกระดูกซึ่งเป็นลักษณะของกลุ่มสุนัขล่าสัตว์ ข้อเท้าสั้นและแข็งแรง
ขาหลัง : เข่าแข็งแรง ลาดลงพอดี ข้อเท้าสมดุลและแบะออกปานกลาง
เท้า : เท้ากลมได้รูป หุบแน่น อุ้งเท้าแข็งและเต็ม
หาง : หางอยู่ตำแหน่งปานกลาง ปลายหางโค้งขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ไปด้านหน้ามากนัก หางมีขนเป็นพวง ลักษณะที่บกพร่องคือขนหางยาวเกินไป หางยาว โค้งไปทางด้านหน้ามาก หรือหางไม่มีขน
ขน : ขนแน่น สั้น และแข็ง
สีขน : มี 3 สีร่วมกันโดยไม่มีสีใดเด่น 

บูลด็อก

ประวัติความเป็นมา
มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ จัดอยู่ในกลุ่มมาสติฟ (Mastiff) โดยเชื่อกันว่าบูลด็อกเป็นสุนัขกลายพันธุ์มาจากสุนัขพันธุ์ Tibetan Mastiff ที่ดูโครงสร้างภายนอกไม่สมประกอบ มีตำราบางเล่มระบุว่าบูลด็อก สุนัขที่เกิดจากการถูกผู้เลี้ยงดูอย่างทรมาน เพื่อให้ได้มาซึ่งสุนัขที่มีรูปร่างหน้าตาไม่สมประกอบ เช่น การนำวัสดุแข็งๆ มาทำเป็นหน้ากากคลุมหัวบูลด็อกไว้ เพื่อให้มีใบหน้าสั้นผิดปรกติไปจากสุนัขตัวอื่นๆ หรือการยับยั้งการเจริญเติบโตของสุนัขด้วยการขังไว้ในที่แคบๆ จนแทบไม่สามารถกระดิกตัวได้ เพื่อให้สุนัขมีรูปร่างแคระแกร็น
คำว่า บูล (Bull) ซึ่งหมายถึงบูลด็อกเป็นสุนัขที่มีรูปร่างคล้ายวัวขนาดเล็ก ชื่อนี้ได้มาจากการที่ชาวอังกฤษในสมัยยุคก่อนๆ ได้ฝึกสุนัขพันธุ์นี้ไว้เพื่อต่อสู้กับวัว เป็นการยากที่จะหาหลักฐานมาอ้างอิงว่าบูลด็อกกำเนิดมาตั้งแต่เมื่อใด แต่มีข้ออ้างอิงที่เป็นไปได้คือ ในสมัยปี ค.ศ. 1209 ซึ่งตรงกับยุคสมัยของกษัตริย์จอห์น โดยท่านลอร์ดวิลเลี่ยม เอริล์วอร์เรนได้มองเห็นวัว 2 ตัว กำลังต่อสู้กันในสนามหญ้าหน้าวังของท่าน เพื่อแย่งชิงวัวตัวเมียอีกตังหนึ่ง จนกระทั่งฝูงสุนัขเลี้ยงวัวของคนเลี้ยงวัวได้ออกมาขับไล่วัวคู่นั้นออกไป จากบริเวณสนาม ท่านลอร์ดมีความยินดีมากและเกิดความคิดที่ว่าจะให้มีเกมกีฬาชนิดใหม่ขึ้นมา คือกีฬาสุนัขต่อสู้กับวัว ซึ่งต่อมาก็เป็นกีฬาที่นิยมกันมากในประเทศอังกฤษ
มาตราฐานสายพันธุ์ 
ลักษณะทั่วไป : บูลด็อกที่สมบูรณ์แบบต้องมีขนาดปานกลาง รูปรางบึกบึนและหนา กระดูกและกะโหลกศีรษะมีขนาดใหญ่มาก หน้าสั้น ใหญ่ กว้าง บริเวณหน้าผากมีรอยย่นลึก ตาอยู่ในตำแหน่งห่างจากใบหู กล้ามเนื้อหนังตาบนจะย่นเหมือขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา ริมฝีปากหนาและกว้าง มีกล้ามเนื้อหนาแน่น แขน ขาล่ำสัน แข็งแรง แผ่นหลังโค้งเล็กน้อย และจะยกสูงบริเวณสะโพก ลำตัวส่วนท้องจะคอด กระดูกซี่โครงมีลักษณะห่อกลมคล้ายมะขามป้อม ตะโพกค่อนข้างเล็ก หางสั้นและขดแน่นกับส่วนหลัง ด้านอุปนิสัยมีความทรหดอดทน อารมณ์คงที่มั่นคงอย่าเสมอต้นเสมอปลาย มีความตั้งใจแน่วแน่ กล้าหาญ พฤติกรรมที่แสดงออกเป็นไปอย่างสงบและสง่า ท่าทางการเดินมีลักษณะแปลกเฉพาะตัว คล้ายข้อต่อกระดูกไม่แข็งแรง เหมือนการลากไป มีลักษณะการเคลื่อนที่ไปทางด้านข้างคล้ายการกลิ้งไป แต่อย่างไรก็ตามการเคลื่อนที่ต้องไม่เกร็ง เป็นอิสระและเข้มแข็ง
ศีรษะ : ควรมีขนาดใหญ่ เมื่อวัดรอบศีรษะ โดยวัดจากด้านบนลงล่างผ่านใบหูควรจะมีความยาวมากกว่าความสูงของตัว เมื่อมองจากด้านหน้าศีรษะควรสูงมาก เมื่อมองจากมุมของขากรรไกรล่างไปถึงจุดสูงสุดของกะโหลกกว้างมากเป็นสี่ เหลี่ยม เมื่อมองจากด้านข้างศีรษะอยู่สูงมาก และจากจมูกถึงท้ายทอยสั้นมาก หน้าผากควรมีรอยย่นลึกเป็นแนว และมีเส้นผ่าลึกลงมาจากส่วนบนมายังจมูกและปาก
จมูก : จมูกควรใหญ่ แลดูกว้างแต่สั้น ปลายจมูกควรจะมีรอยย่นลึก จมูกมีเส้นแบ่งเขตแนวชัดเจน รูจมูกใหญ่และเชิด จมูกควรจะมีสีเข้ม หากเป็นสีดำสนิทได้ยิ่งดี จมูกสีอื่นที่ไม่ใช่สีดำไม่เป็นที่นิยม จมูกแดงเป็นสีเดียวกับสีผิวถือว่าผิดลักษณะ และถ้าจมูกเป็นสีชมพูถือว่าเป็นจุดด้อยอย่างมาก นอกจากนี้จมูกต้องไม่แห้งหรือเปียกชุ่มเกินไป
ปาก : ริมฝีปากบนควรหนา กว้างและลึกมากห้อยลงมาปิดกรามล่างได้มิดชิด หากมองจากด้านข้างจะปิดริมฝีปากล่างและฟันมิดชิด แผ่นหลังที่หุ้มปากทั้งสองด้านควรมีขนาดใหญ่และยาวเท่าๆ กัน ขากรรไกรล่างใหญ่กว้าง เป็นสี่เหลี่ยมยื่นเลยขากรรไกรบนและงอนขึ้น
ฟัน : ฟันควรอยู่ครบ 42 ซี่ ฟันล่างจะเกยอยู่ด้านนอก ฟันที่ดีต้องซี่ใหญ่แข็งแรงมั่นคง ฟันที่ยื่นออกมาต้องไม่มีลักษณะโค้งงอ ฟันเขี้ยวอยู่ห่างจากกัน ฟันตัด 6 ซี่ที่อยู่ด้านหน้าระหว่างฟันเขี้ยวอยู่ในแนวระดับเดียวกัน เวลาอ้าปากจะเห็นฟันซี่เล็กๆ 6 ซี่ทางด้านหน้า เวลาหุบปากไม่ควรจะให้เห็นฟันจึงจะดี และฟันควรขาวสะอาด
ตา : ดวงตาควรมีลักษณะกลม ขนาดปานกลาง ไม่จมลึกหรือยื่นออกมามากเกินไป เมื่อมองจากด้านหน้าจะฝังอยู่ในกะโหลกศีรษะ อยู่ห่างจากหูมาก และตาทั้ง 2 ข้างไม่ควรอยู่ห่างกันมากนัก สีลูกตาควรเป็นสีเข้ม หนังตาปิดตาขาว
หู : ฐานหูทั้ง 2 ข้างควรจะยกสูงและควรจะอยู่ในตำแหน่งที่สมดุลกัน ใบหูควรเล็กและบาง ปลายหูควรพับลงมาแนบกับศีรษะ ควรอยู่ห่างจากตาพอเหมาะ ลักษณะใบหูที่ดีควรมีลักษณะโคนตั้งปลายตกหรือกับกลีบดอกกุหลาบ ซึ่งเป็นที่นิยมสูงสุด หูไม่ควรตั้งตรงและไม่ควรตกลงมาทั้งหมด
คอ : เนื่องจากบูลด็อกเป็นสุนัขที่มีส่วนหัวใหญ่ ลำคอจึงควรใหญ่หนา สั้นและแข็งแรง และเป็นส่วนโค้งทอดไปยังส่วนหลัง หนังใต้ลำคอจะหย่อนลงมาเพียงเล็กน้อย แต่ไม่ควรปล่อยให้ยาน เพราะถ้ายานและมีหนังหย่อนมามากแสดงว่ากำลังอ้วนเป็นพะโล้ แก้ไขโดยการออกกำลังกายบ่อยๆ
ไหล่ : หัวไหล่ควรมีขนาดใหญ่ กว้างและมีมัดกล้ามเนื้อหนา ก่อให้เกิดความสมดุลและพละกำลังมาก
อก : กว้างมาก ลึกและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เห็นกล้ามเนื้อที่อกได้ชัดเจน ซี่โครงโค้งกลมจากหัวไหล่จนไปถึงจุดต่ำสุดของหน้าอก ทำให้สุนัขมองดูมีลักษณะกว้าง เตี้ยและขากว้าง
ลำตัว : แข็งแรงกำยำ เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ไม่ควรผอมจนเห็นซี่โครงและไม่ควรอ้วนจนมองไม่เห็นกล้ามเนื้อบริเวณท้องน้อย ควรจะขอดเล็กน้อย แนวสันหลังควรสั้นและแข็งแรง บริเวณที่ไหล่กว้างมากและค่อนข้างแคบ บริเวณบั้นท้ายซึ่งเป็นจุดที่ควรสูงกว่าความสูงที่ไหล่และมีความโค้งลาดต่ำ อีกครั้งลงไปที่หาง ซึ่งเป็นลักษณะที่เด่นชัดมากสำหรับสุนัขพันธุ์นี้ จึงเรียกว่าหลังแมลงสาบหรือหลังวงล้อ
สะโพก : ควรจะโค้งมนได้รูป ส่วนก้นกลมและไม่มีกระดูกโปนออก
ขาหน้า : ควรสั้น สุนัขพันธุ์นี้มีขาหน้าที่สั้นกว่าขาหลัง ดังนั้นเมื่อสุนัขยืนจะทำให้ช่วงหน้าของลำตัวต่ำกว่าบั้นท้าย ขาที่ดีต้องแข็งแรง กระดูกขาใหญ่ ต้นขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ ขาหน้าเวลายืนควรอยู่ห่างกัน ช่วงบนของขาหน้าแลดูเป็นวงโค้ง ข้อศอกควรอยู่ห่างจากลำตัว เท้าและนิ้วเท้าใหญ่พอประมาณแลดูกระทัดรัด เล็บที่ขาควรมีสีเข้มและควรเป็นสีเดียวกันกับขนบนลำตัว
ขาหลัง : แข็งแรง เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อและยาวกว่าขาหน้า เวลายืนตะโพกจะเชิดสูงทำให้ดูหลังแอ่น ส่วนขาควรสั้นและแข็งแรง ลักษณะของเท้าที่ดี ข้อเท้าที่ขาหลังควรจะหันออกจากลำตัวเล็กน้อย ขาหลังควรบิดออกเล็กน้อย
เท้า : ควรมีขนาดปานกลาง กระทัดรัดและแข็งแรง ปลายเท้าหน้าอาจตรงหรือเปิดออกเล็กน้อย แต่ขาหลังควรยื่นออกด้านนอก
หาง : อาจตรงหรือเป็นเกลียว แต่ไม่โค้งหรือม้วน หางต้องสั้น ห้อยต่ำ โคนหางใหญ่ ปลายเล็ก ถ้าหางเป็นเกลียว การม้วนหรือขมวดของหางจะมีลักษณะเป็นเกลียวคล้ายก้นหอยแต่ต้องไม่หงิกงอ ปลายหางไม่ควรม้วนลงไปถึงโคนหาง
ขน : ขนควรสั้นและเหยียดตรงแบนราบกับลำตัว สีของขนควรสม่ำเสมอ สะอาดสดใสและดูเป็นมันเงา ขนต้องไม่ยาวหรือขึ้นเป็นลอน
ผิวหนัง : อ่อนนุ่มและไม่ตึง โดยเฉพาะที่หัว คอและหัวไหล่ รอยย่นและเหนียงตรงคอ ศีรษะและหน้าควรปกคลุมด้วยรอยย่นขนาดใหญ่ และที่คอจากขากรรไกรจนถึงหน้าอกควรจะมีรอยย่นที่ห้อยออกมาเป็น 2 แนว
สี : สีขนของบูลด็อกมีหลายสี สำหรับสีขนที่ถือเป็น 2 สีในตัวเดียวกัน ในสุนัขที่มี 2 สี แต่ละสีควรเป็นสีเดียวที่บริสุทธิ์ไม่มีสีอื่นเจือปนให้เป็นสีผสม และควรมีการกระจายสีในลักษณะที่สมดุล บูลด็อกที่มีสีดำทั้งตัวไม่เป็นที่นิยม แต่ก็ไม่ถึงกับไม่เป็นที่ยอมรับ สำหรับบูลด็อกที่มีสีนอกเหนือจากที่กล่าวมาในข้างต้นถือว่าใช้ไม่ได้
การเดินการวิ่ง : ถึงแม้จะดูอืดอาดเชื่องช้าเวลาเดินต้องส่ายสะโพกไปมา ลักษณะการก้าวย่างควรดูอิสระ คล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง ไม่อืดอาดเวลาเดิน ลำตัวต้องไม่แกว่งมาก จนดูเหมือนไม่มีกระดูก
น้ำหนักและส่วนสูง: เพศผู้ควรมีน้ำหนักอยู่ในช่วงระหว่าง 24-25 กิโลกรัม เพศเมียอยู่ในช่วง 22-23 กิโลกรัม ส่วนความสูงเพศผู้ควรอยู่ระหว่าง 16-18 นิ้ว และเพศเมียควรสูง 12-15 นิ้ว
ข้อบกพร่อง : จมูกมีสีเนื้อหรือจมูกเผือก

ปอมเมอเรเนียน

ปอมเมอเรเนียนเป็นสุนัขพันธุ์เล็ก มีขนนุ่มปุกปุย มีหัวเป็นรูปลิ่ม หูตั้งชี้ขึ้น บรรพบุรุษปอมเมอเรนียนย้อนกลับไปถึงยุคก่อนคริสตกาล พบภาพวาดในแผ่นหินและรูปหล่อสัมฤทธิ์ตามโลงศพที่พบในอียิปต์ พบโครงกระดูกสุนัขพันธุ์เล็กคล้ายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน ในอุโมงค์ที่บรรจุศพสมัยโบราณของชาวอียิปต์
  เชื่อกันว่า ปอมเมอเรเนียนได้รับการพัฒนาให้เป็นปอมเมอเรเนียนในปัจจุบันครั้งแรกที่ เมืองปอมเมอเรเนีย ประเทศเยอรมัน ตั้งอยู่ในยุโดรเหนือแถบทะเลบอลติก ดินแดนกว้างใหญ่จากตะวันตกของเกาะรูเกนถึงแม่น้ำวิทูลา ที่แห่งนี้มีการเลี้ยงสุนัขอย่างแพร่หลาย ทั้งเพื่อให้เป็นสัตว์และเพื่อให้เป็นสุนัขอารักขา ปอมเมอเรเนียนมีต้นกำเนิดจากพันธุ์สปิทซ์ในสมัยโบราณ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมเมอเรเนียนพัฒนาจากสุนัขพันธุ์ซามอยด์ ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่ตอนเหนือของประเทศรัสเซียแถบไซบีเรีย บางคนเชื่อว่าพัฒนามาจากสุนัขป่า ซึ่งอาศัยอยู่ตามถ้ำในประเทศเยอรมัน และถูกนำมาใช้เป็นสุนัขเลี้ยงแกะในทวีปยุโรปตอนกลางและตอนล่าง นำมาพัฒนาในยุโรปเพื่อช่วยในการเลี้ยงแกะ ซึ่งบรรพบุรุษของปอมฯ น่าจะมีน้ำหนักมากถึง 30 ปอนด์ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมฯ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีซ โดยอ้างหลักฐานจากภาพวาดสมัยโบราณหลายภาพที่มีอายุ 400 ปีก่อนคริสตกาล หรือเกือบประมาณ 2500 ปีมาแล้ว มีภาพของสุนัขขนาดเล็กที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนสุนัขปอมฯ ในปัจจุบัน คือ Stop ที่เด่นชัด ช่วงปากแหลม หูสั้น ลักษณะการเดินและการแสดงออกเหมือนกับที่พบได้ในปัจจุบันทุกประการ ยกเว้นแต่ตำแหน่งของหางที่อยู่ต่ำเกินไปเท่านั้น แสดงว่าสุนัขพันธุ์นี้มีขนาดเล็กมากตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ไม่ใช่เพิ่งพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมาตามที่มีคนในประเทศอังกฤษอ้างเสมอ ประมาณปี 1800 สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ทรงมีความชื่นชอบในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนและส่งสุนัขของพระองค์ลงประกวด ทำให้เกิดความนิยมปอมเมอเรเนียนอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ และเพราะความที่พระองค์โปรดปรานสุนัขที่มีขนาดเล็ก ผู้เพาะพันธุ์หลายคนเริ่มที่จะคัดสุนัขที่มีขนาดเล็ก ปัจจุบันปอมฯ ที่เราเห็นอยู่มีขนาดที่เล็กลงจากปอมฯ ที่เป็นต้นตำรับ 4-5 ปอนด์
  ความฉลาดและความสามารถของปอมฯ ทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นพระเอกในคณะละครสัตว์อย่างต่อเนื่อง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเยอรมัน นิยมเลี้ยงกันเป็นฝูง บางแห่งทำเป็นสุนัขลากเลื่อนก็มี ปอมฯ เข้าสู่อังกฤษช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 และได้รับความนิยมอย่างสูง เช่น มีการตั้งชมรมคือ English Pomeranian Club ในปี 1891 ภายหลังสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียทรงออกงานพร้อมสุนัขพันธุ์นี้บ่อยครั้ง ทำให้สุนัขพันธุ์นี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ส่วนในประเทศอเมริกามีการปรากฎตัวครั้งแรกของปอมเมอเรเนียนที่งานกระกวด สุนัขแห่งหนึ่งประมาณปี 1892 ไม่กี่ปีหลังจากนั้นมีการสั่งนำเข้าอีกเกือบ 200 ตัว มาตรฐานของปอมฯ โดยทั่วไป รูปรางจะเหมือนสุนัขจิ้งจอก มีขนาดกลาง ตาเป็นวงรีสีดำ หูเล็กตั้งตรง ลำตัวสั้นขนาดกระทัดรัด หางเป็นพวงแผ่อยู่บนส่วนหลัง
 มาตราฐานสายพันธุ์
ลักษณะทั่วไป : ปอมฯ เป็นสุนัขขนาดเล็ก ลำตัวสั้นกระทัดรัด น้ำหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ มีการแสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด ร่าเริงและตื่นตัวอยู่เสมอ ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ ขี้ประจบ แต่เป็นสุนัขค่อนข้างตกใจง่าย เห่ามาก ยิ่งตัวเล็กยิ่งเห่าเก่ง
สัดส่วน : น้ำหนักของปอมฯ โดยเฉลี่ยแล้วจะหนักประมาณ 3-7 ปอนด์ (ประมาณ 1.25-3 กก.) แต่ขนาดที่ดีสำหรับการประกวดนั้นควรหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ (1.7-2.5 กก.) ถ้าสุนัขหนักมากกว่าหรือน้อยกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ถือว่าผิดมาตรฐาน รูปร่างของสุนัขมีความสำคัญกว่าขนาดของสุนัข ช่วงตั้งแต่หน้าอกจนถึงสะโพกจะสั้นกว่าหรือเท่ากับส่วนสูงตั้งแต่ช่วงไหล่จน ถึงพื้น กระดูกมีขนาดปานกลาง
ศีรษะ : ขนาดของหัวต้องได้สัดส่วนกับลำตัว ช่วงปาก (MUZZLE) สั้นตรง หน้าดูคล้ายกับสุนัขจิ้งจอก (FOXY EXPRESSION) หัวกะโหลกปิด ช่วงบนของหัวกะโหลกจะกลมเล็กน้อยแต่ไม่โหนกนูน ถ้ามองจากด้านหน้าและด้านข้างแล้วจะต้องเห็นหูที่มีขนาดเล็กอยู่ในตำแหน่ง ที่สูง (HIGH EARSET) และตั้งตรง รูปร่างปากจะมีลักษณะคล้ายรูปลิ่ม(WEDGE SHAPE) เส้นที่ลากจากจมูกไปถึงจุดหัก (STOP) จะต้องอยู่ตรงกลางระหว่างตาทั้งสองข้างและหูทั้งสองข้าง ตามีสีดำสนิท สดใส ขนาดปานกลาง คล้ายเมล็ดอัลมอนด์ (ALMOND SHAPE) สีของจมูกและขอบตาต้องดำสนิท ยกเว้นปอมฯ สีน้ำตาล BEAVER และ BLUE ฟันต้องกัดสบกันพอดี (SCISSORSBITE)
นิสัยและอารมณ์ : สุนัขปอมฯ เป็นสุนัขที่เปิดเผย แสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด
คอ เส้นหลังและลำตัว : คอค่อนข้างสั้น ตั้งอยู่บนไหล่ ทำให้ช่วงคอตั้งสูง แลดูสง่างาม ช่วงหลังสั้น มีระดับของเส้นหลัง หางมีตำแหน่งที่สูง (HIGH TAILSET) วางราบตรงอยู่บนหลัง
ลำตัวส่วนหน้า : ไหล่จะต้องมีการเอียงลาดลงเพียงพอ เพื่อให้สามารถชูคอและหัวได้สูงและสง่างาม ความยาวของช่วงไหล่และขาตอนบนต้องเท่ากัน ขาหน้าต้องตรงและขนานกัน ความยาวตั้งแต่ไหล่จนถึงข้อศอกต้องมีความยาวเท่ากับข้อศอกถึงพื้น ขาต้องตรงและแข็งแรง ไม่เอียงเข้าหรือเอียงออก
ลำตัวส่วนหลัง : ได้สัดส่วนกับลำตัวส่วนหน้า ตำแหน่งของหางจะต้องอยู่เหนือสะโพกค่อนมาทางด้านหน้าต้นขา ต้องมีกล้ามเนื้อแข็งแรงปานกลาง และมีส่วนหน้าของขาหลัง (STIFLES) มีมุม (ANGULATION) ที่โค้งงอพอสมควรรับกับส่วนน่อง (HOCK) ต้องตั้งฉากกับพื้น ถ้ามองจากด้านหลังขาทั้ง 2 ข้างต้องตรงและขนานกัน เท้ามีลักษณะโค้งมนกระชับ ไม่เอียง สุนัขต้องยืนอยู่ปลายเท้า (TOES) นิ้วติ่ง (DEWCLAWS) ถ้ามีควรตัดออก
การเคลื่อนไหว : การเดินหรือการเคลื่อนไหวต้องเป็นไปอย่างอิสระราบเรียบ นุ่มนวล แลดูแข็งแรง เวลาเดินขาหน้าต้องเหยียดตรงไม่งอพับขึ้น ข้อศอกไม่กางออก ส่วนขาหลังต้องไม่ถ่างออก ขาหลังจะเคลื่อนไปข้างหน้าในจังหวะเดียวกันกับขาหน้าที่เคลื่อนที่ไป
ขน : สุนัขปอมฯ มีขน 2 ชั้น คือ ขนชั้นใน (UNDERCOAT) ต้องนุ่มและแน่น ขนชั้นนอก(OUTTERCOAT) ต้องยาวตรงเป็นประกายและหยาบ ขนชั้นในที่หนาแน่นจะช่วยพยุงขนชั้นนอกให้ฟูไม่ลู่ เหยียดตรง ขนจะต้องหนาแน่นตั้งแต่ช่วงคอ หน้าอก ช่วงไหล่ด้านหน้า ขนช่วงหัวและขาจะแน่นแต่สั้นกว่าขนช่วงลำตัว ขนหางยาว หยาบและเหยียดตรง การตัดแต่งเล็มขนให้ดูสวยงามและดูเรียบร้อยไม่ถือเป็นข้อผิด
สี : สีที่ได้รับการยอมรับและรับรอง ควรได้รับการพิจารณาการตัดสินอย่างเท่าเทียมกัน สีที่ได้รับการยอมรับได้แก่
1. สีใดๆ ก็ได้ที่ขึ้นเป็นสีเดียวกันทั้งตัว หรืออาจจะมีสีที่อ่อนหรือแก่กว่าแซมอยู่ด้วย (SELT-COLOR)
2. สีแซมกัน 2 สี (PARTI-COLOR) หมายถึงปอมฯ ที่มีสีขาวและมีสีอื่นแซมเป็นพื้นๆ กระจายเท่าๆ กันทั่วตัว และควรมีแถบสีขาวบนหัวด้วย
3. สีดำและน้ำตาล (BLACK AND TAN) หมายถึงปอมฯ มีสีดำที่มีสีน้ำตาลอยู่เหนือตาทั้ง 2 ข้างและปาก ลำคอ หน้าอก ใต้หาง ขาและเท้าทั้ง 4 ข้าง สีน้ำตาลนี้ยิ่งเข้มยิ่งดี
4. BRINDLE ได้แก่ปอมฯ ที่มีพื้น คือ สีทอง แดงหรือส้ม และมีสีดำแซมอยู่ทั่วทั้งตัว
จุดบกพร่อง :
1. กะโหลกกลม โหนกนูน ฟันล่างยื่น (UNDERSHOT MOUTH) หรือฟันบนยื่นจนเกินไป (OVERSHOT MOUTH)
2. ข้อเท้าราบกับพื้นมากเกินไป
3. ขาหลังที่หัวเข่าชิดกัน ปลายเท้าชี้ออก (COWHOCKS) หรือขาหลังที่บกพร่อง
4. ขนที่นิ่ม เหยียดตรงและแยกออกจนเห็นผิวหนังข้างใน (OPEN COAT)

ปักกิ่ง

ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสุนัขส่วนมากเมื่อเขียนถึงพันธุ์ปักกิ่งก็จะเริ่มต้นว่า พันธุ์ปักกิ่งเกิดขึ้นมานานแล้วเป็นเวลาหนึ่งหรือสองพันปีขึ้นไป สุนัขสายพันธุ์ปักกิ่งที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนั้นจะคล้ายคลึงกับสุนัขขนาด เล็กของจีนยุตโบราณ
  ย้อนเวลากลับไป มีหลักฐานว่าคนจีนเลี้ยงสุนัขขนาดเล็กมาตั้งแต่ 1500 ปีก่อนแล้ว ในปี ค.ศ. 565 พระเจ้าจักรพรรดิประเทศจีนทรงพระราชทานนามสุนัขของพระองค์ว่า "ชิ ซู" หรือ "เสือแดง" เป็นสุนัขเปอร์เซียน เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิทรงม้า "เสือแดง" จะขึ้นไปนั่งบนตะกร้าที่ผูกไว้ด้านหน้าอานม้า ในปี ค.ศ. 620 มีบันทึกว่าสุนัขตัวผู้ตัวเมียคู่หนึ่ง สูงประมาณ 6 นิ้ว ถูกนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายจักรพรรดิเกาสู บันทึกอ้างว่าสุนัขคู่นี้มีความเฉลียวฉลาดมาก สามารถนำทางม้าในเวลากลางคืน
  หลักฐานทำนองนี้สืบเนื่องกันมากจนกระทั่งกลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 เมื่อราชวงศ์ของกุบไลข่านถูกพิชิตลง บันทึกหลักฐานต่างๆ ก็หมดสิ้นลงไปด้วย เป็นเวลาสืบเนื่อง 33 ปี เรารู้แต่ว่าคนจีนหันมานิยมเลี้ยงแมวแทนสุนัข โดยเฉพาะในสังคมชั้นสูง ธรรมเนียมการเลี้ยงสุนัขขนาดเล็กของจีนมาพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดระหว่างปี ค.ศ. 1820 ถึง 1850 ในช่วงเวลานั้นมีสุนัขอยู่หลายพันธุ์ในนครปักกิ่ง พวกขันที 4000 คน ยังมีหน้าที่เฉพาะในการผลิตเพาะสุนัขแบบที่เราเรียกว่า "พันธุ์ปักกิ่ง" ด้วย พระนางซูสีไทเฮาทรงเป็นผู้ทำนุบำรุงกิจกรรมนี้ พระนางยังทรงกระตุ้นให้สร้างรูปแบบพันธุ์คล้ายกับ "สุนัขสิงห์โต" แบบเก่า กิจกรรมข้อหนึ่งก็คือจัดร่างกฎเกณฑ์แบบเฉพาะของสุนัข ข้อความที่นำมาเสนอแบบย่อๆ มีดังนี้ "จงให้มันสวมคลุมขนแห่งความสง่ารอบๆ คอ ขาคู่หน้าของมันจะต้องโค้ง เพื่อไม่ให้มันเดินออกไปไกลๆ หรือเดินออกนอกเขตพระราชฐาน จงสอนมันให้ละเว้นการเตร็ดเตร่ไปมา ให้มันมีขนเหมือนสิงห์โต เหมาะที่จะอุ้มไว้ในชายแขนเสื้อคลุม …" กฤษฎีกานี้ยังกำหนดต่อไปถึงอาหารของสุนัข เช่น "หูฉลาม" "ตับนก" และ "ส่วนอกนกกระทา" เราอาจจะไม่ถือเรื่องนี้เป็นจริงเป็นจังนัก อย่างไรก็ตามหลักฐานนี้ทำให้เรารู้ว่ามีสุนัขพันธุ์ปักกิ่งเกิดขึ้นมาแล้ว และมักจะพบสุนัขพันธุ์นี้ในพระราชวังเท่านั้น ในสมัยก่อนผู้ใดขโมยสุนัขนี้จะได้รับโทษถึงประหารชีวิต พระราชวังแห่งปักกิ่งถูกชาวต่างชาติบุกเข้ายึดครองเมื่อปี ค.ศ. 1860 ก่อนการสูญเสียมีคำสั่งจากพระราชวงศ์ว่าให้สุนัขตายไปเสียดีกว่าจะให้ตกอยู่ ในมือของคนต่างชาติ เจ้าฟ้าหญิงพระองค์หนึ่งไม่ยอมเสด็จหนี ทั้งไม่ยอมให้ทหารดรากูนเข้าจับกุมด้วย ทรงปลงพระชนม์ชีพของพระองค์เอง แต่ไม่ได้ทำลายสุนัขที่เลี้ยงไว้ สุนัขปักกิ่งสี่ตัวถูกทหารยึดได้ ตัวหนึ่งถูกส่งขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระราชินีวิคตอเรีย อีก 3 ตัวที่เหลือยุคแห่งริชมอนด์เลี้ยงดูไว้ ต่อมาก็มีผู้นำตัวอื่นๆ เข้าสู่อังกฤษอีก ตัวหนึ่งได้นำถวายควีนวิคตอเรีย ส่วนอีก 3 ตัวมอบให้ LORD HAY และได้แพร่พันธุ์กระจายไปทั่วไปโลก ซึ่งก็หมายถึงการเลี้ยงดูเพาะสร้างสายพันธุ์ที่ตามมา
เรื่องราวเหล่านี้อ่านแล้วเหมือนนิยาย แต่ก็เป็นเรื่องจริง เรื่องคล้ายนิยายและความเกี่ยวพันกับราชวงศ์ซึ่งเป็นของสูงนี้ ทำให้พันธุ์ปักกิ่งได้รับความนิยมอย่างใหญ่หลวงตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 8 มีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ เช่น LION DOG SUN DOG หรือ STEEVE DOG ปักกิ่งเป็นสุนัขขนาดเล็กที่น่าสนใจที่สุดและมีบุคลิกลักษณะที่ผิดธรรมดาที่ สุด มันมีลักษณะผสมกันประหลาดๆ ของความขบขันและความทรนง เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ด้วยทั้งยังมีความหัวแข็งดื้อรั้นอย่างน่าทึ่ง บางครั้งก็ไม่ยอมรับคำสั่งโดยเด็ดขาด พวกมันชอบเก้าอี้นวมบุแพรไหม แต่ถ้ามีอารมณ์สนุกแล้วก็อกไปวิ่งไล่จับกระต่ายเลย ลักษณะเฉพาะตัวเหล่านี้ทำให้สุนัขพันธุ์นี้พุ่งขึ้นไปสู่ระดับสุดยอด พันธุ์ปักกิ่งไม่เคยหลุดออกจากยี่สิบอันดับแรกสุนัขยอดนิยมของอังกฤษ (Top Twenty) และยังคงติดอันดับสูงมาจนทุกวันนี้ สำหรับในสหรัฐอเมริกานั้นทั้งๆ ที่พันธุ์ปักกิ่งเพิ่งเข้าไปเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 แต่ก็เป็นสุนัขระดับยอดนิยมแล้ว

มาตราฐานสายพันธุ์
ศีรษะ : มีขนาดใหญ่ แข็งแรง กว้างและแบน ในช่วงระหว่างหูทั้งสองข้างจะต้องไม่มีโค้งนูนเป็นโดม มีระยะระหว่างตาทั้งสองข้างกว้า
จมูก : จมูกสีดำ กว้าง สั้นและแบน
ตา : ตาโต สีเข้ม กลมนูนเด่นประกาย
สต๊อป : หรือรอยต่อระหว่างสันจมูกกับหน้าผากจะต้องลึกมาก
หู : มีลักษณะเป็นรูปหัวใจ ไม่อยู่สูงเกินไป ยาวพอสมควร ปลายหูอยู่ระดับต่ำกว่าช่วงปากเล็กน้อย ห้อยตกลงแนบแก้ม ปกคลุมด้วยขนที่ยาวมาก
ช่วงปาก : สั้นมาก กว้าง มีรอยย่น ไม่ยื่นแหลม แข็งแรง ขากรรไกรล่างกว้าง ฟันไม่ยื่นให้เห็นนอกริมฝีปาก
รูปร่างของลำตัว : ลำตัวช่วงหน้าใหญ่หนักแข็งแรง หน้าอกกว้าง ซี่โครงโค้งกว้างค่อยๆ เรียวลงทางด้านหลัง รูปร่างเหมือนสิงโต หลังเรียบขนานกับพื้น ลำตัวสั้นยกเว้นตัวเมียที่อาจยาวกว่าตัวผู้ได้เล็กน้อย
ขา : ขาสั้น ขาหน้ามีกระดูกช่วงบนโค้ง ไหล่แข็งแรง ขาหลังมีกระดูกที่เล็กบางกว่าเล็กน้อย แต่แข็งแรงและได้สัดส่วน
เท้า : เท้าแบน ปลายเท้าเฉียงออก ไม่มีลักษณะกลม จะต้องยืนได้มั่นคงบนเท้าไม่ใช่ยืนบนข้อเท้า
ลักษณะท่าทาง : ไม่กลัวใคร เป็นอิสระ แข็งแรง ลักษณะการเดินจะมีการโยกตัวซ้ายขวาอย่างนุ่มนวล(ROLL)
ขน : ขนยาว มีขนชั้นในที่หนาแน่น ขนมีลักษณะเป็นเส้นตรง เรียบไม่หยิกเป็นคลื่น ค่อนข้างหยาบแต่นุ่ม ขนบริเวณสะโพก ขา หางและหูจะต้องยาวและฟูมาก
ขนแผงคอ : ยาวและฟูมาก กว้างเกินหัวไหล่ ปกคลุมตลอดรอบลำคอ
สี : มีได้ทุกสีคือ แดง ฟอน (สีโทนน้ำตาล) ดำ ดำกับแทน (BLACK AND TAN) เซเบิล (ขนสีดำที่ปกคลุมสีของลำตัวที่อ่อนกว่า) บรินเดิ้ล (ขนสีเข้มและสีอ่อนขึ้นแซมกันทั่วตัว) ขาวและขน 2 สี (PATICOLOR) คือ จะต้องมีสี 2 สีที่แยกจากกันอย่างชัดเจนกระจายอยู่ทั่วตัว ไม่มีสีใดสีหนึ่ง เป็นบริเวณกว้างอยู่สีเดียว จะต้องมีสีขาวปรากฎบริเวณหลัง สำหรับสุนัขที่มีสีเดียว แต่มีเท้ากับหน้าอกยาว ไม่นับเป็นประเภทขนสองสี
หาง : ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สูง วางพาดไปบนหลัง ปลายหางตกลงด้านใดด้านหนึ่ง มีขนยาวตรงแน่นและฟูมาก
ขนาด : เนื่องจากปักกิ่งเป็นสุนัขตุ๊กตา (TOY) จึงนิยมให้มีขนาดเล็ก โดยจะต้องมีลักษณะที่ถูกต้อง น้ำหนักจะต้องไม่เกิน 14 ปอนด์
การแสดงออก : จะต้องแสดงออกถึงต้นกำเนิดเดิมในประเทศจีน คือ มีความกล้าหาญ เป็นตัวของตัวเอง เหมือนสิงโตที่มีขนาดเล็ก มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่กลัวใคร พร้อมที่จะต่อสู้ป้องกันตัวแต่ไม่ดุร้าย ไม่ควรมีลักษณะอ่อนหวานหรือบอบบาง
ข้อบกพร่อง : ที่จะถูกหักคะแนน ในการประกวด ลิ้นยื่นให้เห็นนอกปาก ตาเจ็บอักเสบ ขากรรไกรบนยื่นกว่าขากรรไกรล่าง (OVERSHOT) และปากเบี้ยว (WRY MOUTH)
ที่จะถูกตัดสิทธ ิ์ในการประกวด จมูกสีชมพูหรือสีน้ำตาล (DUDLEY NOSE) น้ำหนักเกินกว่า 14 ปอนด์

ปั๊ก

สุนัขพันธุ์ PUG มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนเป็นสุนัขที่เก่าแก่ที่สุดพันธุ์หนึ่ง มีกำเนิดตั้งแต่ 400 ปีก่อนคริสตกาลในสมัยโบราณนิยมเลี้ยงไว้ในวัดจีน ต่อมาสุนัขพันธุ์ PUG กระจายไปอยู่ส่วนต่างๆของยุโรป ในประเทศฮอลแลนด์ให้เกียรติสุนัขนี้มาก เนื่องจากมันได้ช่วยชีวิตของเจ้าชายวิลเลียม โดยการเตรียมให้รู้ว่าพวกสเปนได้ยกทัพเข้ามาใกล้แล้ว ส่วนฝรั่งเศส มเหสี นโป-เลียนได้ซ่อนจดหมายไว้ที่ปลอกคอของ PUG ไปให้นโปเลียนเพื่อบอกว่า พระนางถูกจับขังไว้ที่ LESCARMES เหตุการณ์นี้เกิดในปี 1970
มาตราฐานสายพันธุ์
อุปนิสัย : สามารถอยู่ในที่เล็กๆได้หรือสามารถอยู่ร่วมกันหลายตัวได้
โครงสร้าง : ลำตัวเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและดูกระชับได้สัดส่วน สุนัขมีลำตัวซูบผอม ขาสั้นหรือยาวเกินไป
ศีรษะ : มีขนาดใหญ่ ลักษณะกลม หนังหัวบริเวณหน้ามีรอยย่นมาก
หู : มีขนาดเล็ก ใบหูค่อนข้างบาง หูพับไปด้านหน้าหรือด้านหลัง แต่หูพับไปด้านหน้าจะได้รับความนิยมมากกว่า
ตา : สีเข้ม ลักษณะกลมโต
ปาก : มีขนาดสั้น รูปร่างคล้ายทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส
จมูก : ควรสั้นแลดูหน้าทู่เหมือนสุนัขพันธุ์ปักกิ่งเวลามองตรงเข้าไปจากกหน้า จมูก
ปาก : ควรมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส จมูกควรมีสีดำ ฟันห้ามแลบออกมานอกปาก
ลำตัว : มีขนาดเล็ก ลำตัวล่ำสัน ลำตัวมีกล้ามเนื้อมาก
อก : กว้าง
ขาหน้า : แข็งแรงมาก ตั้งตรง ขาหน้ามีความยาวปานกลาง เท้าไม่กลมเหมือนเท้าแมว หรือนิ้วยาวมากเกินไป เล็บสีดำ
ขาหลัง : มีลักษณะเหมือนขาหน้า
หาง : มีลักษณะม้วนอยู่เหนือสะโพก หางม้วนสองรอบถือว่าดี
ขน-สี : ขนสั้นนุ่ม ตัวสีน้ำตาล บริเวณหน้า หู แก้ม ควรมีเส้นตัวสีดำหรือสีดำทั้งตัว
น้ำหนัก : ประมาณ 14-18 ปอนด์ 

มอลทีส

สุนัข MALTESE มีถิ่นกำเนิดในประเทศ MALTA (แถบทะเลเมอร์ดิเตอริเนียน) มานานเกือบ 2800 ปีแล้ว นักเขียนหรือนักวาดภาพในสมัยโบราณมักนิยมเขียนเรื่องราวหรือภาพของสุนัข พันธุ์นี้อยู่เนืองๆ และเป็นที่นิยมเลี้ยงของผู้คนสมัยนั้น และจนกษัตริย์อียิปต์โบราณและ QUEEN VICTORIA ด้วย MALTESE เป็นสุนัขที่มีขนมีขาวสะอาดมีสุขภาพดี คล้ายสุนัขใหญ่กลุ่ม SPANIEL ในปี ค.ศ. 1607 มีการซื้อขายพันธุ์ MALTESE ตัวหนึ่งสูงถึง 2000 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 50000 บาท
มาตราฐานสายพันธุ์
อุปนิสัย : เป็นเพื่อนที่ดีของมนุษย์ สุภาพ กล้าหาญ ไม่ขลาดกลัว
ศีรษะ : มีความยาวปานกลาง หัวกะโหลกลักษณะกลม
หู : โคนหูอยู่ในระดับต่ำ หูตก บริเวณหูมีขนหนาและยาว 
ตา : สีดำ ลักษณะกลม ขอบตาดำ ทำให้ดูตื่นตัวอยู่เสมอ
ดั้งจมูก : มีมุมหักพอประมาณ
ปาก : มีความยาวปานกลาง ขนาดของโคนปากเรียวสู่ปลายจมูกเล็กน้อย
จมูก : สีดำ
ฟัน : ขาว แข็งแรง ขบแบบเสมอหรือขบแบบกรรไกร
ลำตัว : ค่อนข้างสั้น ความยาวของลำตัวมีขนาดใกล้เคียงกับความสูงของลำตัว เส้นหลังตรงขนานกับพื้น
คอ : มีความยาวพอเหมาะ
อก : ค่อนข้างลึก
ขาหน้า : มีกระดูกใหญ่พอเหมาะ ขาหน้าตั้งตรง ขาหน้ามีขนยาวเท้ามีขนาดเล็กค่อนข้างกลม นิยมตัดขนบริเวณเท้าเพื่อไม่ให้รุ่มร่าม
เอว : แข็งแรง เอวกิ่วเล็กน้อย
ขาหลัง : มีกระดูกใหญ่พอเหมาะ ข้อเท้าแข็งแรงทำมุมพอประมาณเท้ามีขนาดเล็ก เท้ากลม นิยมตัดบริเวณเท้า
หาง : ค่อนข้างยาวหางมีขนยาว หางพาดอยู่บนหลัง
ขน-สี : มีขนชั้นเดียว ขนยาวเหยียดตรง ขนฟู ขนไม่ตั้ง บริเวณหัวยาวอาจมัดเป็นจุก หรือหวีปัดลงก็ได้มีสีขาวทั้งตัว
ขนาด : เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็ก
น้ำหนัก : ประมาณ 4-6 ปอนด์
การเดิน-วิ่ง : มีความสง่างาม วิ่งเร็ว ขณะวิ่งขาหลังเป็นเส้นตรง ไม่บิดงอ
ข้อบกพร่อง : ขนหยิกงอ เท้าบิด